การเรียบเรียงประวัติหลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต แห่งวัดอุดมคงคาคีรีเขต อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น ค่อนข้างเป็นการยากลำบาก เพราะเป็นอย่างที่ท่านพระอาจารย์พระศรีปริยัติเวที (สมาน สุเมโธ ป.ธ.๙) แห่งสำนักวัดป่าแสงอรุณ จังหวัดขอนแก่นได้กล่าวไว้ในบทนำ ในหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ ณ เมรุวัดอุดมคงคาคีรีเขตไว้ว่า
“การเรียบเรียงประวัติของท่านโดยละเอียดนั้น นับว่าเป็นการยากมาก เพราะไม่มีผู้ใดทราบชีวประวัติของท่านโดยตลอด ถึงแม้ว่าจะมีผู้สนใจตลอดจนนักเขียนทั้งหลายจะขอโอกาสกราบเรียนถามท่าน ท่านก็ไม่เทศน์ให้ฟัง จะมีก็เพียงครั้งคราวเท่านั้น ที่ท่านเอ่ยถึงความเป็นมาในอดีตให้ฟังเพียงเล็กน้อย การเรียบเรียงจึงไม่สมบูรณ์แบบ”
ชีวประวัติของท่านได้มีผู้เรียบเรียงไว้เป็นหลายสำนวน ส่วนใหญ่มีข้อมูลที่คล้ายๆ กัน มีแตกต่างบ้างทั้งที่เป็นข้อมูลเล็กน้อย และมีบ้างที่แตกต่างกันในจุดสำคัญ ชนิดที่ถ้าผู้อ่านจะยึดถือเอาข้อมูลของสำนวนใดสำนวนหนึ่งเป็นหลัก ก็จะต้องเรียบเรียงประวัติท่านกันใหม่ไปเลย ในที่นี้จะขอเสนอข้อมูลที่แตกต่างดังกล่าวไว้ตามที่พอรวบรวมได้จากข้อมูลแหล่งต่างๆ ไว้ดังนี้
๑. เรื่องปีพ.ศ. ที่หลวงปู่เกิด มีเพียงวันเกิดของท่านในเหรียญฉลองสิริอายุครบ ๗๗ ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ เท่านั้นที่ระบุว่าเป็นวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๔๔๓ ส่วนข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ ล้วนระบุว่าเป็น ๕ สิงหาคม ๒๔๔๕
๒. เรื่องหลวงปู่ผางเป็นบุตรลำดับที่เท่าไหร่ของครอบครัว ส่วนใหญ่ระบุว่าหลวงปู่ผางเป็นบุตรคนสุดท้อง แต่บางแหล่งระบุว่าเป็นบุตรคนที่สอง
๓. เรื่องประวัติการศึกษา บางแหล่งข้อมูลระบุว่าท่านจบการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ แต่บางแหล่งข้อมูลระบุว่าท่านมีความรู้พออ่านออกเขียนได้
๔. เรื่อง ชื่อบุตรบุญธรรมหลวงปู่ ส่วนใหญ่ระบุว่าชื่อ บุญปราง แต่มีบางแหล่งข้อมูลระบุว่า ชื่อ หนูพาน
๕. เรื่อง การบวชครั้งที่สอง ของหลวงปู่ที่ระบุว่า ก่อนจะบวช ท่านและภรรยาได้ทำทานโดยการบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดของท่านให้กับผู้อื่น แต่บางแหล่งข้อมูลระบุว่าท่านยกทรัพย์สินของท่านทั้งหมดให้กับนางหนูพานผู้เป็นบุตรบุญธรรม
๖. เรื่องการออกบวชเป็นชีของภรรยาท่าน ส่วนใหญ่จะระบุว่าภรรยาท่านได้ออกบวชเป็นชีพร้อมกับที่ท่านบวชเป็นพระสงฆ์ แต่มีบางแหล่งข้อมูลระบุว่าภรรยาท่านเกิดความเบื่อหน่ายในการครองเรือนจึงได้ขอลาท่านออกไปบวชชีก่อน ต่อมาท่านจึงได้ออกบวชเป็นพระภิกษุในภายหลัง
๗. เรื่องวัดที่พระอาจารย์สิงห์จำพรรษาอยู่ในช่วงที่หลวงปู่ผางเข้าไปศึกษาและปฏิบัติธรรมกับท่าน บางแหล่งข้อมูลระบุว่า วัดป่าวารินชำราบ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี แต่มีบางแหล่งข้อมูลระบุว่า เป็นวัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ
๘. ประวัติในเรื่องปีที่ท่านทำการญัตติในคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต นั้นมีข้อมูลแตกต่างกันเป็นสองทาง คือ
๘.๑ ท่านได้ขอญัตติในคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต เมื่ออายุได้ ๔๒ ปี ๖ เดือน ในวันพุธที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๘
๘.๒ ท่านได้ขอญัตติในคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต เมื่ออายุได้ ๔๗ ปี ในวันพุธที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๑
๙. ประวัติในเรื่องวัดที่หลวงปู่ผางขอญัตติในคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต ส่วนใหญ่ระบุว่า กระทำที่ วัดบ้านโนน หรือวัดทุ่ง แต่บางแหล่งข้อมูลระบุว่า ทำที่ วัดทุ่งสว่าง บ้านโนนใหญ่ ตำบลก่อเอ้ อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี
๑๐. ประวัติของท่านในเรื่องปีและสถานที่ที่ท่านได้เข้าเป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ข้อมูลจากหลายแหล่งระบุไว้ไม่ตรงกัน มีการขัดกันในข้อมูลในช่วงประวัตินี้โดย
ข้อมูล จากเทศนาของท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน ที่ได้เทศน์ไว้ที่วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๐ ได้ระบุสถานที่ที่หลวงปู่ผางได้พบกับท่านพระอาจารย์มั่นคือ ที่วัดป่าบ้านนามน ต.ตองโขบ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร
แต่เมื่อตรวจสอบข้อมูลกับประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แล้วปรากฏว่า ท่านพระอาจารย์มั่นจำพรรษาที่วัดป่าบ้านนามนในปีพ.ศ. ๒๔๘๖ ซึ่งปีนั้นตามประวัติของหลวงปู่ผางท่านยังเป็นฆราวาสอยู่ หลวงปู่ผางบวชครั้งที่ ๒ เมื่ออายุ ๔๓ ปี ประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๘
บางข้อมูล เช่นข้อมูลจากบทเสริมประวัติ พระหลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต โดย พระเทพบัณฑิต (อินทร์ ถิรเสวี) รองเจ้าคณะภาค ๙ วัดศรีจันทร์ จังหวัดขอนแก่น ได้ระบุไว้ว่า สถานที่ที่หลวงปู่ผางได้พบกับท่านพระอาจารย์มั่นคือ ที่วัดป่าบ้านผือ นาใน ซึ่งตามประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ท่านจำพรรษาที่วัดนั้น ในปี พ.ศ. ๒๔๘๘ จนกระทั่งถึงกาลมรณภาพในปีพ.ศ. ๒๔๙๒
๙. ประวัติของท่านเกี่ยวกับพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ที่ได้ระบุว่าในขณะที่ท่านอยู่ศึกษาและปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์มั่น หลังจากท่านบวชครั้งที่ ๒ แล้วนั้น คืนหนึ่งท่านได้เกิดนิมิต ถึงสถานที่แห่งหนึ่ง รุ่งเช้าขึ้นท่านจึงได้ลาพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต และพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ออกธุดงค์ไปหาสถานที่ตามนิมิตนั้น
ถ้าจะยึดตามข้อมูลที่ว่าพระหลวงปู่ผางได้พบกับท่านพระอาจารย์มั่นที่วัดป่าบ้านผือ เป็นหลักแล้ว พระหลวงปู่ผางก็ต้องพบกับท่านพระอาจารย์มั่นประมาณปี พ.ศ. ๒๔๘๙ แต่ข้อมูลตามประวัติหลวงปู่เสาร์ ท่านได้มรณภาพในปี ๒๔๘๕ ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่หลวงปู่ผางจะพบกับท่านพระอาจารย์มั่น ถึง ๔ ปี ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พระอาจารย์เสาร์ และหลวงปู่ผางจะเคยได้มีโอกาสพบกัน ความเป็นไปได้เพียงประการเดียวที่หลวงปู่ผางจะมีโอกาสได้พบและศึกษาธรรมกับท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ก็คือในช่วงเวลาที่หลวงปู่ผางยังเป็นฆราวาสอยู่
ดังนั้นเมื่อพิจารณาถึงข้อมูลรอบด้านแล้ว ประวัติโดยย่อของหลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต ในช่วงตั้งแต่บวชครั้งที่ ๒ จนถึง ธุดงค์มาจนถึงวัดดูน ที่มีข้อมูลที่สอดคล้องกันก็น่าจะเป็นดังนี้
๒๔๘๗ (เข้าพรรษา ๔ ส.ค. ๘๗) |
อายุ ๔๒ ปี ออกบวชครั้งที่ ๒ ที่วัดคูขาด อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี |
|
ศึกษากับพระอาจารย์สิงห์ ที่วัดป่าแสนสำราญ จ.อุบลราชธานี |
๗ ก.พ. ๒๔๘๘ (เข้าพรรษา ๒๕ ก.ค. ๒๔๘๘) |
ญัตติเป็นธรรมยุต ที่วัดทุ่งสว่าง อุบลราชธานี |
๒๔๘๙ (๒ ก.พ. ๒๔๘๙) |
พระมหาปิ่นมรณภาพ เมื่อพระอาจารย์สิงห์ได้จัดการฌาปนกิจศพพระน้องชายเสร็จแล้ว ท่านก็ได้กลับไปจำพรรษาที่วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา |
|
ออกธุดงค์เพื่อไปหาท่านพระอาจารย์มั่น |
|
ศึกษากับพระอาจารย์มั่น ที่วัดป่าบ้านหนองผือ นาใน |
|
ออกธุดงค์เพื่อหาวัดที่ปรากฏในนิมิต |
๒๔๙๑ |
จำพรรษาที่วัดบัลลังก์ศิลาทิพย์ ตำบลบ้านแท่น อำเภอชนบท จ.ขอนแก่น |
๒๔๙๒ |
ออกธุดงค์มาจนถึงภูผาแดง อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น |
|
พระอาจารย์มั่นมรณภาพ (๑๑ พ.ย. ๒๔๙๒) |
มีชื่อบ่อยากให้ปรากฏ มียศบ่อยากให้ลือชา
ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต วัดอุดมคงคาคีรีเขต ตำบลนางาม อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น นามเดิมของท่านชื่อ ผาง ครองยุต เกิดในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๔๔๕ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๒ ค่ำ เดือนเก้า ปีขาล ที่บ้านกุดกระเสียน ตำบลกุดกระเสียน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี
โยมบิดาชื่อ ทัน โยมมารดาชื่อ บับพา ครองยุต มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๓ คน คนแรกเป็นหญิงชื่อ บาง ซึ่งบวชเป็นชีอยู่ที่วัดอุดมคงคาคีรีเขต คนที่สองชื่อ คำแสน ส่วนตัวหลวงปู่เป็นคนสุดท้อง (บางแหล่งข้อมูลบอกว่าท่านเป็นบุตรคนที่สอง)
คุณตาชื่อ ศรีมงคล คุณยายชื่อ เหง้า สำหรับคุณตานั้น เคยเป็นกำนันตำบลเขื่องใน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ทั้งคุณตาและคุณยายมีบุตรธิดาสืบสกุลด้วยกัน ๓ คน คือ
๑ คุณแม่บัพพา (โยมมารดาของหลวงปู่)
๒. คุณแม่ล้อม
๓. คุณแม่จอม
เชื้อสายของท่านมักจะไม่ค่อยมีลูกมาก อย่างมากก็มีลูกเพียง ๒-๓ คน เท่านั้น
ครอบครัวของท่านยึดอาชีพเกษตรกรรม คือ ทำนา เลี้ยงสัตว์ ปลูกผัก ตามสภาพของท้องถิ่นในสมัยนั้นเป็นหลัก อาชีพอื่น เช่นค้าขาย เป็นต้นเป็นอาชีพรอง
การศึกษาทางโลกของหลวงปู่มีความรู้เพียงขั้นพออ่านออกเขียนได้ เนื่องจากในสมัยที่หลวงปู่ยังเยาว์วัยอยู่นั้น พระราชบัญญัติประถมศึกษา ยังมิได้ประกาศใช้ ผู้ประสงค์จะได้รับการศึกษาเล่าเรียน จะต้องขวนขวายเอาเอง โดยการฝากตัวเข้าเป็นศิษย์วัดกับพระภิกษุที่อ่านออกเขียนได้ แล้วให้ท่านสอน
หลวงปู่มีอุปนิสัยรักความเป็นธรรม ถือความสัตย์ พูดจริงทำจริง รักธรรมชาติ ชอบความสงบ เมตตาสัตว์มีแนวความคิดสร้างสรรค์ และชอบทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม
พ.ศ. ๒๔๖๕ บวชครั้งที่ ๑
ในปีพ.ศ. ๒๔๖๕ เมื่อหลวงปู่มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาตามประเพณีลูกผู้ชายชาวไทย ในคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ณ วัดเขื่องกลาง บ้านเขื่องใน ตำบลเขื่องใน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีพระอุปัชฌาย์ดวน คุตฺตสีโล เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ดี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้ศึกษาพระธรรมวินัยมีความรู้พอสมควร ต่อมาเมื่อออกพรรษาจึงได้ลาสิกขาจากสมณเพศมาประกอบสัมมาอาชีพ
พ.ศ. ๒๔๖๘ แต่งงาน
ครั้นอายุได้ ๒๓ ปีก็ได้สมรสตามประเพณีกับนางสาวจันดี สายเสมา คนบ้านแดงหม้อ ตำบลแดงหม้อ อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ได้ครองเรือนมาด้วยกันอย่างราบรื่น แต่ไม่มีบุตรสืบสกุล จึงได้ขอบุตรของญาติพี่น้องมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมชื่อ นางบุญปราง ครองยุติ (บางแหล่งข้อมูลว่าชื่อ นางหนูพาน)
เมื่อครั้งยังอยู่ในเพศฆราวาส หลวงปู่เป็นคนขยัน เอาจริงเอาจังกับการงาน ได้ประกอบสัมมาอาชีพโดยช่วยบิดามารดาทำไร่ทำนา บางครั้งก็เป็นพ่อค้าเรือใหญ่ บรรทุกข้าวจากแม่น้ำมูลไปขายตามลำน้ำชีน้อย บางครั้งก็เป็นพ่อค้าวัว นำวัวไปขายที่เขมรต่ำ หลวงปู่ได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการสร้างฐานะให้แก่ครอบครัว
หลวงปู่ผางได้ใช้ชีวิตในเพศฆราวาสเป็นเวลานาน สามารถรอบรู้เหตุการณ์ที่ผ่านมา พิจารณาดูความเปลี่ยนแปลงของชีวิตและหมู่สัตว์ทั้งหลายบรรดามีในโลกเมื่อเกิดมาแล้วต่างก็สับสนวุ่นวายแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเป็นที่เดือดร้อนไม่สุดสิ้น
หลวงปู่คงจะได้สั่งสมบุญบารมีมามาก ทำให้ท่านมองเห็นความไม่แน่นอน และความไม่มีแก่นสารในชีวิต ทำให้จิตใจของท่านโน้มเอียงไปในทางแห่งความสงบ ท่านได้ทำทานเป็นการใหญ่ โดยได้ให้เกวียน วัว บ้าน ไร่ นา แก่ผู้อื่นสละทุกสิ่งทุกอย่างจนหมดสิ้น (บางแหล่งข้อมูลว่า ยกทรัพย์สินให้บุตรบุญธรรม คือนางบุญปราง ครองยุติ ซึ่งขณะนั้นได้แต่งงานมีครอบครัวแล้ว)
พ.ศ. ๒๔๘๗ บวชครั้งที่ ๒
หลังจากที่หลวงปู่ในเพศฆราวาสได้บริจาคทาน วัว ควาย ไร่ นา บ้านเรือนให้แก่ผู้อื่นจนหมดสิ้นแล้ว ก็หมดห่วงและได้หันหน้าเข้าหาพระธรรม ดังนั้นประมาณปีพ.ศ. ๒๔๘๗ เมื่ออายุได้ราว ๔๒ ปี จึงได้ชวนนางจันดีผู้เป็นภรรยาออกบวช ภรรยาได้บวชเป็นแม่ชี ส่วนหลวงปู่ได้เข้าอุปสมบทในฝ่ายมหานิกาย ที่วัดคูขาด บ้านศรีสุข ตำบลเขื่องใน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีพระครูศรีสุตตาภรณ์ (สี หรือ ตื้อ พุทธสาโร) เป็นพระอุปัชฌาย์ ส่วนพระกรรมวาจาจารย์ และพระอนุสาวนาจารย์ไม่ปรากฏ ท่านได้รับฉายาจากพระอุปัชฌาย์ว่า "จิตฺตคุตฺโต" อันมีความหมายว่า ผู้คุ้มครองจิตดีแล้ว นับเป็นการบวชครั้งที่สองของหลวงปู่
หลวงพ่อพระครูศรีสุตาภรณ์ (สี หรือ ตื๋อ พุทธสาโร) มีนามเดิมว่า สี กำเนิดที่บ้านคูขาด ต.ศรีสุข อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี เมื่อวันพุธที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๔๓๗ (แรม ๑๔ ค่ำ เดือนอ้าย) บิดาชื่อนายโกร่น ทองไทย มารดาชื่อ นางวรรณา ทองไทย มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด ๖ คน หลวงปู่เป็นบุตรคนที่ ๔ บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๑๘ ปี ที่วัดบ้านคูขาด ๑ พรรษา แล้วลาสิกขาบท เมื่ออายุ ๑๙ ปี ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ๒ ปี พ.ศ. ๒๔๕๘ อายุ ๒๑ ปี ได้อุปสมบทที่วัดบ้านคูขาด พ.ศ. ๒๔๕๘-๒๔๖๐ พรรษาที่ ๑ ถึง ๓ จำพรรษาที่วัดธาตุเทิง พ.ศ. ๒๔๖๑ พรรษาที่ ๔ จำพรรษาที่วัดบ้านแวง สำนักพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พ.ศ. ๒๔๖๒ พรรษาที่ ๕ จำพรรษาที่วัดภูผากูด ถ้ำคูหาวิเวก สำนักพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล พ.ศ. ๒๔๖๓ พรรษาที่ ๖ เป็นไข้ป่า กลับมารักษาตัว และจำพรรษาที่วัดบ้านคูขาด พ.ศ. ๒๔๖๔ พรรษาที่ ๗ ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จำพรรษาที่วัดยม บางปะอิน พ.ศ. ๒๔๖๕ พรรษาที่ ๘ จำพรรษาที่วัดบ้านคูขาด รักษาการตำแหน่งเจ้าอาวาสเรื่อยมา พ.ศ. ๒๔๗๕ พรรษาที่ ๑๗ ได้รับตำแหน่งพระอุปัชฌาย์ ในสองเขตตำบล คือตำบลศรีสุข และตำบลยางขี้นก พ.ศ. ๒๔๘๔ พรรษาที่ ๒๖ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูชั้นประทวนที่ “พระครูศรีสุตาภรณ์” พ.ศ. ๒๔๙๕ พรรษาที่ ๓๗ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านคูขาด พ.ศ. ๒๔๙๙ พรรษาที่ ๔๑ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นสัญญาบัตร ในตำแหน่ง “พระครูศรีสุตตาภรณ์” ท่านเป็นผู้นำชาวบ้านในการพัฒนาวัด ชุมชน ตัดถนน และสร้างโรงเรียนประชาบาล ๔ โรง ได้แก่โรงเรียนบ้านคูขาด (ศรีวิทยาคาร) , โรงเรียนบ้านโพนเมือง (สุขวิทยา) , โรงเรียนบ้านคำสมอ , โรงเรียนบ้านหนองเหล่า พ.ศ. ๒๕๒๐ พรรษาที่ ๖๒ วันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๙ เวลา ๑๕.๓๕ น. ท่านได้ละสังขารด้วยอาการสงบ สิริอายุ ๘๒ ปี ๖๒ พรรษา |
ตามประวัติของพระครูศรีสุตตาภรณ์ (สี หรือ ตื้อ พุทธสาโร) ที่พิมพ์แจกเป็นที่ระลึกในงานพิธีฌาปนกิจศพของท่าน เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๒๐ นั้น ได้ระบุว่า ท่านพระครูศรีฯ ได้เคยไปศึกษาปฏิบัติทางฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในสำนักพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตมหาเถระ ณ สำนักวัดบ้านแวง อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ในปีพ.ศ. ๒๔๖๑ และในพรรษาต่อมา ท่านได้ไปศึกษาปฏิบัติฝ่ายวิปัสสนาธุระ กับพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลมหาเถระ ซึ่งขณะนั้นจำพรรษาอยู่ที่วัดภูผากูด ถ้ำคูหาวิเวก จังหวัดสกลนคร แต่ในพรรษาถัดมาท่านเกิดอาพาธด้วยโรคไข้ป่า จึงกลับมารักษาตัวและจำพรรษาที่วัดบ้านคูขาด
ซึ่งแสดงว่าท่านพระครูศรีสุตตาภรณ์ นั้นเป็นศิษย์ยุคต้นๆ สายมหานิกาย ของท่านพระอาจารย์เสาร์และพระอาจารย์มั่น ดังนั้นเมื่อท่านได้ทำการอุปสมบทให้กับพระภิกษุผางแล้ว ท่านก็อยากจะให้พระภิกษุผางได้เข้าศึกษาและปฏิบัติพระกรรมฐานตามแบบอย่างที่ท่านได้ศึกษาและปฏิบัติอยู่กับพระอาจารย์เสาร์ และ พระอาจารย์มั่นในครั้งก่อน
แต่ท่านก็ทราบดีว่าการจะเข้าศึกษาและปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์มั่นนั้น ไม่ใช่นึกอยากจะเข้าไปกราบขอถวายตัวเข้าเป็นศิษย์นั้นก็จะทำได้ตามใจชอบ เพราะท่านพระอาจารย์มั่นท่านเคร่งครัดเรื่องการคัดเลือกศิษย์เป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่ประสงค์จะเข้าเป็นศิษย์ของท่าน ก็ต้องมีการเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมเป็นอย่างดีเสียก่อน
ในพรรษาแรกของหลวงปู่ผางท่านจำพรรษาที่วัดคูขาด โดยท่านพระครูศรีสุตตาภรณ์ได้อบรมสั่งสอนการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของท่านพระอาจารย์มั่นเป็นเบื้องต้น
ประจวบเหมาะกับในปีนั้น สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ท่านพำนักอยู่ที่จังหวัดอุบล เกิดอาพาธหนัก ถึงขนาดฉันอาหารไม่ได้ ต้องถวายอาหารทางเส้นเลือด ท่านจึงเรียกพระเถระฝ่ายกัมมัฏฐานเข้าไปปรึกษาหารือเพื่อหาทางบำบัดโรคในทางธรรมปฏิบัติ พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกอันดับ ๒ ของสมเด็จฯ จึงได้มาอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานีเพื่ออุปัฏฐากสมเด็จฯ โดยได้พำนักอยู่ที่วัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ ปีนั้นเป็นปีเดียวกับที่พระมหาปิ่น ปญฺญาพโล น้องชายของท่านซึ่งได้ไปเผยแพร่พระพุทธศาสนา ที่จังหวัดปราจีนบุรีอยู่ ๕ พรรษา ได้กลับมาจังหวัดอุบลฯ เนื่องจากอาพาธด้วยโรคปอด รักษาไม่ทุเลา จึงเดินทางกลับมายังบ้านเกิด
พ.ศ. ๒๔๘๗ ไปศึกษาและปฏิบัติธรรม
กับพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม
เมื่อพระครูศรีสุตตาภรณ์ (สี หรือ ตื้อ พุทธสาโร) ได้พิจารณาดังนั้นแล้ว เมื่อออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๘๗ จึงได้แนะนำให้พระภิกษุผางไปศึกษาและปฏิบัติธรรม กับพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม (เจ้าคุณพระญาณวิศิษฏ์สมิทธีราจารย์) และพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล วัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นวัดธรรมยุติกนิกาย
พ.ศ. ๒๔๘๘ ญัตติเป็นธรรมยุต
เมื่อท่านพระอาจารย์สิงห์ได้รับพระภิกษุผางไว้ในสำนักแล้ว ท่านก็เห็นว่าเพื่อความสะดวกในการที่พระภิกษุผางซึ่งเป็นพระมหานิกาย จะประกอบสังฆกรรมกับหมู่คณะจึงดำเนินการให้พระภิกษุผางญัตติเป็นธรรมยุต ในวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๘ ณ วัดทุ่งสว่าง บ้านโนนใหญ่ ตำบลก่อเอ้ อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี พระครูพินิจศีลคุณ (พระมหาอ่อน) เจ้าคณะอำเภอเขื่องใน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาทราย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาจันทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
เมื่อหลวงปู่ผางได้รับการญัตติเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกายแล้ว ท่านก็เข้ารับการอบรมพระกรรมฐานอยู่ในสำนักท่านพระอาจารย์สิงห์ ต่อไป
ต่อมาพระมหาปิ่น ที่ได้อาพาธด้วยโรคปอด เมื่อกลับจากจังหวัดปราจีนบุรี มาอยู่ที่อุบลฯ รักษาอยู่ ๒ พรรษา ไม่หายและได้ถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๙ เมื่อจัดการงานศพพระมหาปิ่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านพระอาจารย์สิงห์ก็กลับไปจำพรรษาที่วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา
ก่อนที่ท่านพระอาจารย์สิงห์จะออกจากวัดป่าแสนสำราญ ไปจำพรรษาที่วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมาที่ท่านสร้างขึ้นนั้น ท่านได้แนะนำให้พระภิกษุผางไปศึกษาและปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตซึ่งเป็นอาจารย์ของท่าน ดังนั้นพระภิกษุผาง จึงประสงค์จะไปรับโอวาทธรรมจากท่านพระอาจารย์ใหญ่ ซึ่งขณะนั้น พำนักอยู่ ณ เสนาสนะป่าบ้านหนองผือ (ปัจจุบันคือ "วัดป่าภูริทัตตถิราวาส" อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร)
พ.ศ. ๒๔๘๙ ธุดงค์ไปหาท่านพระอาจารย์มั่น
หลวงปู่จึงธุดงค์จากจังหวัดอุบลราชธานีเลียบฝั่งแม่น้ำโขง ขึ้นไปทางจังหวัดมุกดาหารและนครพนม แวะกราบนมัสการพระธาตุพนม และจาริกไปยังจังหวัดสกลนคร โดยการเดินเท้าตลอดเส้นทาง หากพบสถานที่แห่งใดเหมาะสมแก่การภาวนา และมีหมู่บ้านที่จะบิณฑบาตได้อยู่ไม่ไกลนัก ท่านก็จะพักสักระยะ แล้วเดินทางต่อไป จนกระทั่งมาถึงภูผาซาง
หลวงปู่หลงทางอยู่ที่นี่เป็นเวลาหลายวัน จนไม่ได้ฉันอาหารใดๆ เลย ร่างกายจึงเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเต็มที ทว่าท่านไม่เคยย่อท้อมีแต่ความมุ่งมั่นที่จะไปฟังธรรมจากพระอาจารย์ใหญ่ให้ได้ ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ตาม
“ก็อาศัยแต่ฉันน้ำในกา ไม่ใช่ฉันจนอิ่ม คือจิบเอาทีละน้อยๆ อดอาหารหลายๆ วันก็เคยอดมาแล้ว กลัวทำไม ยิ่งอดยิ่งภาวนาดี”
จิตใจจึงมีความอิ่มเอิบ ปีติในธรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง มีความเบิกบานตลอดเวลา แต่เมื่อนานวันเข้าน้ำในกาก็หมดไป
“เอ้า! น้ำหมดแล้วจะทำยังไงดี เดินแวะขึ้นป่าลงหุบเขาตรงไหนที่พอจะมีน้ำบ้าง น้ำสักหยดก็ไม่มี ล้าก็ล้า เหนื่อยก็เหนื่อย หิวน้ำก็หิว ฉันน้ำปัสสาวะตัวเองนี่แหละ”
เมื่อหลงป่าอยู่นานหลายวัน ต่อมาแม้แต่น้ำปัสสาวะก็ไม่มีให้ฉัน ร่างกายของท่านขาดน้ำและอ่อนเพลีย ต้องแบกบริขารทั้งบาตร กลดและกาน้ำ
“ร่างกายยามนี้ ถือหรือแบกอะไรมันช่างหนักไปหมด ตายแน่ๆ ตายอยู่กลางป่านี้แน่ๆ เราทอดอาลัยตายอยาก ตายก็ตาย จะตายทั้งทีอย่าให้ร่างกายเน่าทิ้งเสียเปล่า ปักกลดนั่งภาวนากลางทางเสือทางช้างป่าผ่านนี่แหละ”
ทอดอาลัย ... ภาวนา ตายๆ ๆ สู้
ในยามพลบค่ำของคืนเดือนหงาย ท่านจึงได้ปักกลดภาวนา ณ สถานที่อันเหมาะสม กลางดึกคืนนั้นเอง หลังจากไหว้พระสวดมนต์แผ่เมตตาแล้วก็ภาวนาอยู่ในกลด ด้วยคิดว่าตนเองคงจะต้องตายในคราวนี้แน่นอนแล้ว จึงรำพึงในใจว่า
“คราวนี้เป็นคราวที่เราจนตรอกจนมุมแล้ว หลงทางอยู่กลางป่ากลางดงคนเดียว ไม่มีใครมาช่วย คงต้องเอาชีวิตมาทิ้งกลางป่านี้แน่ๆ ได้ยินว่าในป่าเขามีเทวบุตรเทวดาอยู่มาก ทำไมไม่เห็นมาช่วยบ้าง ไม่สงสารพระธุดงค์ผู้หลงทางหลงป่าบ้างหรือ บุญกุศลเราคงหมดแค่นี้ เอาละตายก็ตาย คิดก็ตายไม่คิดก็ตาย คิดไปให้มากเรื่องทำไม นั่งภาวนาสละตายที่ตรงนี้แหละ”
คิดได้ดังนั้นแล้วท่านจึงภาวนาโดยนึกถึงความตายเป็นอารมณ์จนจิตสงบตั้งมั่น เป็นเวลานานเท่าไหร่ก็ไม่ทราบได้ จนกระทั่งได้ยินเสียงสัตว์ชนิดหนึ่งกระโจนมาชนกลดดังโครมครามๆ ถึงสามครั้ง จนกลดแทบจะพัง เมื่อเปิดกลดออกมาก็พบกับเสือโคร่งลายพาดกลอนตัวใหญ่ ยืนจังก้าจ้องหน้าท่านแบบจะกินเลือดกินเนื้อ
เสือยืนอยู่ห่างไปประมาณ ๓-๔ วา จึงมองเห็นกันได้อย่างชัดเจนเพราะเป็นคืนเดือนเพ็ญ แม้จะเผชิญกับสถานการณ์วิกฤต แต่ท่านกลับมีจิตใจห้าวหาญ ไม่เกรงกลัว
“ดีล่ะ ไหนๆ ก็จะถึงที่ตายอยู่แล้ว จะตายทั้งที ร่างกายนี้จะได้ไม่ต้องเน่าเปื่อยผุพังไปเปล่า มีผู้มาเก็บซากศพให้ก็ดีแล้ว เราจะเดินเข้าไปให้เสือกินทั้งบริขารนี่แหละ”
ว่าแล้วท่านก็เดินเข้าไปหาเสือตัวนั้น โดยมิได้สะทกสะท้านต่อความตายใดๆ
“ฮีบมากินมา เฮามาให้กินแล้ว กินให้หมดเด้อ อย่าให้เหลือซาก มันสิเหน่าเหม็นถิ่มซื่อๆ”
(รีบมากินสิ เรามาให้กินแล้ว กินให้หมดนะอย่าให้เหลือซาก มันจะเน่าเหม็นทิ้งเปล่าๆ)
หลวงปู่พูดไปแล้วก็เดินเข้าไปหาเสือไปเรื่อยๆ แต่เจ้าเสือกลับถอยหลังกรูด มันหันหลังให้แล้ววิ่งไปข้างหน้า แล้วหันกลับมาจ้องมองอีก ท่านเดินตามไปจะให้มันกิน เสือวิ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ ท่านก็เดินตามไปเรื่อยๆ เป็นอย่างนี้อยู่จนสว่าง เสือตัวนี้ก็หนีเข้าป่าไป
“เอ้า! สิมาส่งกันกะบ่บอก ถ้าบ่กินกะฟ่าวเข้าดงเข้าป่าไป เดี๋ยวนายพรานสิมาเห็น เขาจะยิงเอา ให้อยู่เป็นสุขๆ เด้อ”
(อ้อ จะมาส่งกันก็ไม่บอก ถ้าไม่กินเราก็รีบหนีเข้าไปเสีย เดี๋ยวนายพรานมาเห็น เขาจะยิงเอา ให้เป็นสุขๆ เถิด)
ปรากฏว่าการที่ท่านเดินตามเสือเพื่อจะให้มันกินอยู่จนสว่าง ทำให้ออกจากป่ามาจนถึงไร่ของชาวบ้าน หลวงปู่จึงบิณฑบาตได้อาหารมาฉัน ไม่ต้องเอาชีวิตไปทิ้งในป่าแห่งนี้
ภาวนาปฏิบัติธรรมในถ้ำลึกที่ผาเสด็จ
จากนั้นท่านได้ธุดงค์ต่อมาจนถึงดงพระยาเย็น ผาเสด็จ (ภูพระบาท ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี) ไปนั่งภาวนาอยู่ในถ้ำลึกถึง ๘ วัน ๘ คืน
ก่อนจะเข้าไปนั่งภาวนาในถ้ำนี้ ชาวบ้านที่ทำไร่อยู่ในในถิ่นนั้นได้ห้ามไม่ให้ท่านลงไปนั่งในถ้ำลึก เพราะอากาศในถ้ำนั้นเย็นจัด เขาบอกว่า ๗ วันก่อน มีพระธุดงค์รูปหนึ่งมาพักและได้มรณภาพในถ้ำนั้น เมื่อท่านได้ฟังเขาเล่าดังนั้นแล้วก็ยังยืนยันแก่เขาว่า จะต้องลงภาวนาให้ได้ จึงเตรียมตัวเข้าไปในถ้ำ
เมื่อเข้าไปพักในถ้ำท่านพบว่าอากาศหนาวมาก เย็นจัดดังคำบอกเล่า หลวงปู่ผางนั่งพำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ได้ ๔ วัน ก็เกิดเป็นไข้ ท่านเล่าว่าคงจะเป็นเหมือนดังที่คุณโยมคนนั้นบอกไว้ พยายามนั่งภาวนาไปจนครบ ๗ วัน ไข้ก็ยิ่งจับหนัก พอครบวันที่ ๘ มีอาการอ่อนเพลียมาก แต่ก็ยังคงออกไปเที่ยวบิณฑบาตได้มะละกอสุกมาลูกหนึ่ง นึกอยากจะฉันมะละกอสุกลูกนั้น จึงฉันจนหมด ในใจตอนนั้นท่านว่าจะเป็นตายร้ายดีอะไรก็ตาม ก็ให้แล้วแต่บุญแต่กรรม
หลังจากฉันมะละกอสุกไปแล้วไม่นาน ท่านก็ปวดท้องถ่ายหนัก เมื่อถ่ายแล้วท่านก็รู้สึกว่าอาการไข้ได้หายไป มีเรี่ยวแรงพลกำลังเกิดขึ้น ท่านได้พักอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายวัน
จากนั้นมุ่งหน้าเดินธุดงค์ไปทางจังหวัดเลยไปนั่งภาวนาตามถ้ำภูเขาหลายแห่ง เช่น ถ้ำผาปู่ ภูกระดึง เป็นต้น
สมัยนั้นที่ภูกระดึงผู้คนยังไม่มีมาก ท่านไปพักภาวนาอยู่ระหว่างกึ่งกลางทางขึ้นภูกระดึงในปัจจุบัน
ในสมัยนั้น หมู่บ้านศรีฐานซึ่งเป็นหมู่บ้านตั้งอยู่ปากทางขึ้นภูกระดึง มีชาวบ้านอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน การโคจรบิณฑบาตลำบากมาก อากาศหนาวจัด สัตว์ป่าต่างๆ มีมากเยอะแยะเช่น เสือ ช้าง เป็นต้น เมื่อหลวงปู่ลงจากภูกระดึงเพื่อออกไปบิณฑบาตยังบ้านศรีฐาน บางครั้งเคยไปเจอเสือรอยเท้าใหญ่ขนาดคืบกว่า มันนั่งอยู่ระหว่างทางช่องแคบ
ท่านได้พูดกับมันบอกว่า "ขอผ่านทางไปด้วยเถอะพยัคฆะเอ๋ย หลวงพ่อจะไปบิณฑบาตมาฉัน อย่ามานั่งกีดกันหนทางเลย"
ไม่นานเจ้าพยัคฆ์ก็ลุกหนีไป แล้วไม่เคยจะกลับมาให้เห็นอีกเลย
อีกครั้งหนึ่งที่บริเวณนี้แหละ หลวงปู่นั่งภาวนามาหลายวัน รู้สึกว่าอ่อนเพลีย เจ็บปวดตามร่างกายมาก นึกอยากจะเปลี่ยนสถานที่ใหม่ จึงเดินไปตามชายเขา
ท่านบอกว่า เมื่อเดินไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เป็นเวลาบ่าย ๓ โมงเศษ ท่านไปนั่งพักอยู่ใกล้หนทาง เห็นชาวบ้านเขาเดินทางผ่านมา ก็เลยถามเขาว่า "หมู่บ้านนี้มีคนชื่อเฒ่าเสือไหม ? " ทั้งๆ ที่ท่านไม่รู้จักเฒ่าเสือนั้นเลย
ชาวบ้านก็บอกว่า มี
อันว่าเฒ่าเสือนั้น เป็นนายพรานที่ชำนาญป่าแถบนั้นมาก เป็นผู้ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ หลวงปู่จึงบอกชาวบ้านว่า เมื่อกลับเข้าไปในหมู่บ้านแล้ว ช่วยบอกพ่อเฒ่าเสือให้มาหาท่านด้วย ชาวบ้านก็เมื่อกลับถึงหมู่บ้านแล้วก็รีบไปบอกพ่อเสือ
พ่อเสือก็ได้ออกมาพบหลวงปู่ พอมาถึง ท่านก็ถามว่า
“เจ้าชื่อเฒ่าเสือ แม่นบ่” (ใช่ไหม)
เฒ่าเสือตอบว่า แม่น ข่อยนี่หละชื่อเฒ่าเสือ
หลวงปู่จึงบอกเฒ่าเสือว่า
"เอ้อเฒ่าเสือเอย ไปหอบเฟือง (ฟาง) มาให้จักมัดใหญ่ๆ แหน่"
แล้วพ่อเฒ่าเสือก็ไปหาฟางมา โดยเอาผ้าขาวม้ารัดมาถวายหนึ่งมัด
หลังจากที่เฒ่าเสือถวายฟางมัดหนึ่งแก่หลวงปู่แล้ว ท่านก็บอกเฒ่าเสืออีกว่า
"ช่วยหาที่พักให้จักบ่อนแหน่ บ่อนได๋ สิดี"
เฒ่าเสือนั้น แกเป็นนายพรานสันดานดื้อยังมีอยู่ อยากรู้ว่าหลวงพ่อนี้จะดีเด่นแค่ไหน ถ้าไม่แน่ก็จะให้เสือมันจัดการเป็นอาหารในคืนนั้น พ่อเฒ่าเสือก็ยกมัดฟางขึ้นพาดบ่า เดินนำหน้าหลวงพ่อไป เดินทางไปตามซอกเขาประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็มาถึงที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นช่องแคบ กว้างพอกางกลดได้เท่านั้นพ่อเฒ่าก็วางมัดฟางลง
ห่างจากที่นี้ไปประมาณ ๒ เส้น มีแอ่งน้ำเป็นหลุมขนาดพอลงนอนได้ มีน้ำ หลุมนี้เป็นที่สัตว์ป่าทั้งที่ดุร้ายและไม่ดุร้ายลงมากินน้ำเป็นประจำทุกวัน
พ่อเฒ่าปูฟางจัดที่ถวายแล้วก็ลากลับ
หลวงพ่อก็เริ่มกางกลดทันที เพราะพลบค่ำใกล้จะมืดแล้ว พลางก็นึกว่า
“คืนนี้อีกละน้อคงจะพ้ออีหยังจักอย่าง บ่อฮู้ว่าจะแม่นหยังแน่นอน”
ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร มโนภาพมันจึงคิดไปอย่างนั้น เมื่อกางกลดเสร็จท่านก็เข้าไปในกลด นั่งสวดมนต์ไหว้พระภาวนาเข้าสมาธิ จนถึงเวลาทุ่มเศษๆ ก็นึกจะจำวัดพักผ่อนในคืนนี้ เพราะรู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยมาก พอเอนกายลงครู่เดียวกำลังจะงีบหลับไป ก็มีเสียงมาเตือนว่า
" ระวังเน้อ ระวังแลงบุ้งกิ้งกือใหญ่ "
ท่านก็ผวาตื่นขึ้นมาทันที นึกอยู่ว่า อะไรน้อ สัตว์ชื่อนี้ ความหวาดเสียวสะดุ้งกลัวขวัญหนีดีฝ่อก็บังเกิดขึ้นตามปกติวิสัยของมนุษย์ทั่วๆ ไป ท่านก็เลยจำวัดไม่ได้
"เอาละจะเป็นอย่างไรคืนนี้กูต้องผจญภัย จะเป็นตายอย่างไรแล้วแต่เทวดาฟ้าดินพระอินทร์ พระพรหม จะกรุณา"
แล้วท่านก็นั่งภาวนาไป ชั่วครู่ก็ได้ยินเสียงดังมาจากฟางที่ปูพื้นบริเวณนอกกลด ดังควั๋กค๊าก เหมือนเสียงตัวปลวกกินฟาง
ท่านก็เลยหยุดภาวนา แล้วใช้มือลูบจับผ้ามุ้งกลดรอบๆ ตัว
ก็เลยไปเจอแมลงบุ้งกิ้งกือใหญ่มหึมา ม้วนวงรอบมุ้งกลด ค่อยๆ ขยับเข้ามาเรื่อยๆ เหมือนจะรวบรัดตัวท่าน หลวงปึ่งตกลงตัดสินใจเปิดมุ้งดู ก็เห็นตัวงูใหญ่ลวดลายสีสันเหมือนงูทำทาน ขณะนั้นไม่สามารถจะรู้ได้ว่า ข้างไหนเป็นหัวข้างไหนเป็นหาง เมื่อเห็นดังนั้น ทีแรกท่านนึกว่าจะเปิดมุ้งกระโดดข้ามมันวิ่งหนีไป แต่กลับได้สติคืนมาและนึกถึงคำสั่งสอน ของครูบาอาจารย์ที่ท่านสั่งว่า
“ถ้ากลัวผีให้เข้าไปอยู่ที่ป่าช้า ถ้ากลัวช้าง เสือ งู สัตว์ดุร้าย ให้เข้าไปอยู่ใกล้สัตว์เหล่านั้น”
พอคิดได้แล้วก็ตกลงใจ นั่งสวดมนต์ภาวนาทำจิตใจให้เป็นสมาธิตั้งมั่น...
จนกระทั่งไก่ป่าเริ่มขัน เสียงชะนีกู่ร้องก้องไพร วันใหม่ก็มาถึง แสงสว่างเจิดจ้า
หลวงปู่ตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นมีอะไร จิตใจก็สบาย จนได้อรุณ ก็ออกบิณฑบาตได้ภัตตาหารพอควรแล้ว ก็กลับคืนที่พัก
วันนั้นพ่อเฒ่าเสือพร้อมด้วยลูกหลานชาวบ้าน ก็นำอาหารออกไปถวาย
พอได้โอกาสจึงถามขึ้นว่า
“เป็นจั่งได๋หลวงพ่อ คืนนี้ มีหยังมารบกวนบ่”
หลวงพ่อจึงตอบว่า
“บ่มีหยังนา นอกจากสัตว์ต่างๆ พากันลงมากินน้ำเท่านั้น”
พ่อเฒ่าเสือก็เกิดอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เพราะสถานที่นั้นมีอาถรรพณ์มาก แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลวงพ่อพักอยู่คืนต่อมาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก ท่านพักอยู่ที่นั่นพอสมควรแล้วก็ออกธุดงค์ต่อไปอีก
จนพบท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ณ เสนาสนะป่าบ้านผือ ในที่สุด (น่าจะเป็นช่วงก่อนเข้าพรรษาปีพ.ศ. ๒๔๘๙)
พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้พบท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
ต่อมาจึงได้พบกับพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เกิดความเลื่อมใสได้ฝากตัวเป็นศิษย์และได้เข้าอบรมอยู่กับพระอาจารย์มั่น ที่วัดป่าบ้านผือ นาใน อยู่เป็นเวลาอันสมควร ท่านพระอาจารย์มั่นได้ให้โอวาทว่า “ให้เที่ยวไปองค์เดียว อยู่คนเดียว และตายคนเดียว”
หมายเหตุ ประวัติหลวงปู่ผางในช่วงที่อยู่ศึกษาและปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์มั่นนั้น บางแหล่งข้อมูลได้ระบุว่า หลวงปู่ได้ออกธุดงค์ไปกับพระอาจารย์มั่นด้วย ซึ่งข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวเมื่อได้สอบทานกับประวัติท่านพระอาจารย์มั่นหลายๆ แห่งข้อมูล ได้ความว่า พระอาจารย์มั่นได้ออกธุดงค์ครั้งสุดท้ายเมื่อคราวออกธุดงค์จากวัดป่าบ้านนามน มายังวัดป่าบ้านผือ นาใน ในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวหลวงปู่ผางเพิ่งจะออกบวชครั้งที่ ๒ และจำพรรษาอยู่ที่วัดคูขาด จังหวัดอุบลราชธานี หลังจากที่ท่านพระอาจารย์มั่นมาจำพรรษาที่วัดป่าบ้านผือแล้ว ท่านก็ไม่ได้ออกธุดงค์อีกเลย จนท่านมรณภาพในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ (ข้อมูลจาก ประวัติท่านพระอาจารย์มั่นฉบับสมบูรณ์ โดยพระอาจารย์วิริยังค์ สิรินฺธโร) และหลวงปู่ผางได้พบกับท่านพระอาจารย์มั่นในราวปีพ.ศ. ๒๔๘๙ ซึ่งเป็นเวลาที่พระอาจารย์มั่นไม่ได้ออกธุดงค์แล้ว ฉะนั้นจึงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับห้วงเวลาที่แหล่งข้อมูลดังกล่าวได้ระบุว่าหลวงปู่ผางได้ออกธุดงค์กับท่านพระอาจารย์มั่นว่าเป็นห้วงเวลาใด
แม้จะไม่มีหลักฐานในการพิสูจน์ถึงห้วงเวลาดังกล่าว แต่เพื่อรักษาข้อมูลดังกล่าวไว้เผื่อในภายหน้า อาจจะมีผู้พบข้อมูลใหม่ที่สามารถระบุเวลาที่หลวงปู่ผางออกธุดงค์กับท่านพระอาจารย์มั่นได้ จึงขอนำข้อมูลดังกล่าวมาแสดงไว้ดังนี้
“ธุดงค์กับหลวงปู่มั่น “ ภายหลังออกพรรษาแล้ว หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้พาคณะออกเดินธุดงค์ และครั้งนี้หลวงปู่ผางได้ติดตามไปด้วย “ ข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ที่หลวงปู่มั่นเคยนำมาสอน หลวงปู่ผางได้จดจำเป็นอย่างดีเยี่ยม พยายามจดจำปฏิปทาในการดำรงชีพเพศสมณะต่อไป “ ท่านได้พาไปพักตามเงื้อมผาป่าดง ท่ามกลางดงเสือดงช้าง “ หลวงปู่มั่นเคยสอนเสมอว่า “ “ถ้าจิตใจเรามันยังทำไม่ดีอยู่ ก็ให้เอาเสือเอาช้างนี่หละ มาแก้นิสันสันดานเรา สัตว์พวกนี้เป็นครูฝึกที่ดีกว่าอะไรเสียอีก” ...แข็งคาท้อง “ สมัยที่หลวงปู่ผางท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านพูดให้ลูกศิษย์ฟังว่า หลวงพ่อมั่นนี้เป็นพระที่ประเสริฐ ท่านล้นด้วยปัญญาบารมีทุกอย่าง “ ยามไปปักกลดอยู่กับท่าน ถ้าได้ยินเสือร้องอยู่ในที่ไกลๆ แต่ไม่ค่อยได้เห็นตัว “ เสือมันร้องรอบๆ ด้านคล้ายดังกับว่า มาเป็นกองร้อยลาดตระเวนคอยปกปักรักษาอยู่ยามให้ “ เสียงเสือก็ไม่มารบกวนจิตใจแต่อย่างใด ความจริงก็เป็นเพราะพวกเรายิ่งภาวนาหนักไปเท่านั้น “ บางคนกลัวเสือมากไม่ต้องถ่ายหนักเบากันละ ง่วงก็ไม่ง่วง นั่งบ้าง เดินจงกรมบ้าง ทำอยู่อย่างนั้นตลอดคืนตลอดแจ้ง (ท่านพูดแล้วก็หัวเราะ) “ แรกเลยทีเดียว ได้ยินเสือร้องทุกคืน ขี้แข็งคาท้องเลยเป็นหลายๆ วันนะ มันไม่ยอมถ่ายท้องนี่ พอเวลามันปวด มันมักจะปวดยามเสือร้องเสียด้วย “พอกลัวมากๆ ความปวดโน่นเจ็บนี่พลอยหายไปหมด เป็นอันว่าผ่านไปอีกหนึ่งคืนกับหนึ่งวัน เมื่อพูดถึงความกลัวแล้วน่ะมันที่สุดกันละนะ” “ ลูกศิษย์ผู้เล่าให้ผู้เขียนฟังบอกว่า วันที่หลวงพ่อเมตตานะจึงได้ฟังกัน เพราะปกติคนไม่ค่อยกล้าเข้าหาท่าน คิดว่าท่านดุ ความเป็นจริง หลวงปู่ผางท่านมีเมตตาธรรมมากที่สุดเลย “หลวงปู่ผาง เคยปรารภกับลูกศิษย์เสมอๆ ว่า “ “หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น พระอาจารย์สิงห์ นับเป็นครูบาอาจารย์ที่เสียสละมากที่สุด ทุกข์ทรมานมากที่สุด ลำบากลำเค็ญมากที่สุด หายากในพื้นพิภพปัจจุบัน” เคร่งครัดปฏิบัติตาม “ หลังจากหลวงปู่ผางได้รับธรรมะและแนวทางอันเป็นอุบายธรรมพอสมควรแล้ว ท่านก็ได้กราบอำลาพระอาจารย์มั่น ออกเดินธุดงค์ต่อไปโดยลำพัง ข้อมูลจาก : หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต เทพเจ้าแห่งภูผาแดง โดย ดำรง ภู่ระย้า |
ศิษย์ท่านเล่าว่า
คุณดำรง ภู่ระย้า ได้เขียนไว้ในบทความเรื่อง "หลวงปู่ผาง จิตฺคุตฺตโต เทพเจ้าแห่งภูผาแดง" ไว้ตอนหนึ่งดังนี้
ผู้เขียน (คุณดำรง) ได้รับคำบอกเล่าจากลูกศิษย์ท่านหนึ่ง ซึ่งในครั้งนั้นท่านผู้นี้พบกับผู้เขียนบนรถโดยสาร และได้เล่าเรื่องหลวงปู่ผาง ให้ฟังว่า....
“ความจริงหลวงพ่อท่านเล่าว่า จะบวชเพียงชั่วคราว ให้หายจากความทุกข์ที่เข้ามากัดกินจิตใจของท่าน และทดแทนน้ำนมแม่เท่านั้น เมื่อรักษาจิตใจพอสงบระงับลงได้แล้ว ท่านก็จะสึก
แต่ภายหลังที่ได้พบกับหลวงปู่มั่น ได้รับธรรมะที่มาสะกิดใจท่านในขณะนั้น แล้วนำไปภาวนาดู
โดยตั้งใจว่า “ถ้าไม่เป็นจริง ไม่คลายทุกข์ได้จริงก็จะสึก แต่ถ้าสามารถแก้ไขจิตใจของท่านได้ และรู้เหตุผลที่เกิดขึ้นกับจิตใจได้ ท่านจะไม่สึก จะขอตายในผ้าเหลือง และจะขอปฏิบัติตามหลวงปู่มั่นสั่งสอนไม่ให้ด่างพร้อยเลยสักข้อเดียว”
คงจะเป็นเพราะธรรมะเกิดขึ้นกับจิตใจท่านนี้เอง จึงทำให้หลวงปู่ผาง ทุ่มเทชีวิตให้กับการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่อมา จนมีกำลังจิตเป็นที่น่าอัศจรรย์แก่บรรดาศิษย์ทั้งหลาย
ตามหาสถานที่ในนิมิต
ในระหว่างที่ได้เข้าอบรมอยู่กับพระอาจารย์มั่น ที่วัดป่าบ้านผือ นาในนั้น คืนหนึ่งหลวงปู่ได้นิมิตไปว่า ได้ขี่ม้าขาวไปทางจังหวัดขอนแก่น ได้เห็นสถานที่ต่างๆ เลยไปจนถึงอำเภอมัญจาคีรีแล้วม้าขาวก็หยุดให้ท่านลง รุ่งเช้าขึ้นท่านจึงได้ลาพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ออกธุดงค์ไปตามนิมิตนั้นทันที
หลวงปู่ผางได้ท่องเที่ยววิเวกไปแต่ผู้เดียวในป่าเขา จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาหนึ่ง
พ.ศ. ๒๔๙๑
ปีนี้ท่านได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบัลลังก์ศิลาทิพย์ ตำบลบ้านแท่น อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น เป็นเวลา ๑ พรรษา
เมื่อออกพรรษาแล้วหลวงปู่ได้ธุดงค์ต่อไปยังภูเขาผาแดง อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นทิวเขาที่ไม่มียอดเขาสูง และเป็นเทือกเขาที่อยู่ต่อลงมาทางทิศใต้ของเทือกเขาภูเม็ง ซึ่งเป็นภูเขาใหญ่มียอดเขาสูงและกั้นแดนระหว่างอำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่นกับอำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ บนภูผาแดงนี้ เดิมทีเดียวเป็นป่าดงดิบ มีสัตว์ป่าดุร้ายมากมายนานาชนิด เช่น เสือ ช้าง หมี งู และสัตว์จำพวกสัตว์เลื้อยคลานพิษร้ายนัก ฯลฯ มีภูตผีปีศาจดุร้าย ป่าติดเป็นพืดไป บริเวณโดยทั่วไปร่มเย็น ปราศจากสิ่งรบกวนให้จิตใจได้ว้าวุ่น สงบวิเวกดี เหมาะแก่สมณะผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม ภายในเทือกเขามีรูน้ำซึมขึ้นมาจากใต้ดินออกทั้งปี แล้วไหลลงไปสู่หนองน้ำเชิงเขา จนเกิดเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ๒-๓ แห่ง และเชื่อกันว่า ที่รูน้ำแห่งนี้มีปลาไหลเผือกขนาดตัวใหญ่มากอาศัยอยู่
สถานที่นี้ในอดีตเป็นโบราณสถานเก่าแก่ ชาวบ้านแถบนี้จึงเชื่อกันว่าเป็นสถานที่ลึกลับและศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีคนหรือพระรูปใดสามารถเข้าไปอยู่ได้ ภูผาแดงนี้ เว้นจากนายพรานล่าสัตว์แล้ว ยากนักที่ชาวบ้านจะขึ้นไป ถึงขนาดว่าเข้าไปหาของป่า ชาวบ้านก็ไม่กล้าที่จะอยู่จนถึงเวลาบ่าย ต้องรีบกลับลงจากภูผาแดง
หลวงปู่ผางเมื่อธุดงค์มาถึงบริเวณนี้ ที่นั่นท่านได้พบ “ถ้ำกงเกวียน” ซึ่งเป็นถ้ำลึกลับอยู่บนภูผาแดง ไม่มีใครทราบว่าถ้ำแห่งนี้เมื่อเดินเข้าไปแล้วจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน หลวงปู่ผางได้ใช้พลาญหินบริเวณปากถ้ำแห่งนี้เป็นที่บำเพ็ญเพียรภาวนา และในเวลาต่อมาท่านได้ทราบจากนิมิตว่า ที่นี่มีโครงกระดูกของท่านแต่อดีตชาติถูกฝังไว้ เพราะเมื่อชาติก่อนท่านได้เสียชีวิตลงในขณะที่กำลังสร้างพระเจดีย์ค้างอยู่ พอตกมาถึงชาตินี้ ด้วยจิตใจอันตั้งมั่นที่จะสร้างพระเจดีย์ให้สำเร็จ ทำให้เกิดเป็นนิมิตต่างๆ ดลใจให้ท่านมายังสถานที่แห่งนี้ เพื่อสานต่อปณิธานที่ค้างมาตั้งแต่ชาติก่อนๆ
ย้อนเวลากลับไปเมื่อ ๑๐ ปีก่อน ณ ที่เชิงภูผาแดงที่ซึ่งมีน้ำพุผุดขึ้นมาจากใต้ดิน แล้วเกิดเป็นหนองน้ำนั้น เป็นที่ตั้งของวัดดูน ซึ่งอยู่ห่างจากถ้ำกงเกวียน บนภูผาแดงที่หลวงปู่ผางบำเพ็ญภาวนา ไปประมาณ ๑ กิโลเมตร บริเวณนี้แม้จะเป็นพื้นที่อันตรายสำหรับชาวบ้าน แต่สำหรับพระป่ากรรมฐานอย่าง “พระอาจารย์มหาสีทน กาญจโน” วัดสมศรี ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น หนึ่งในกองทัพธรรมของพระป่าแห่งภาคอีสาน ลูกศิษย์ของหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ฯลฯ แล้ว พื้นที่แบบนี้สำหรับท่าน ถือเป็นสัปปายะชั้นดีที่เหมาะสมสำหรับการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง
ในปีพ.ศ. ๒๔๘๒ นับเป็นปีแรกที่ท่านได้ธุดงค์จากจังหวัดนครราชสีมาและจำพรรษา ณ บริเวณดังกล่าว หลวงพ่อสีทนก็ได้พาชาวบ้านทั้ง ๓ หมู่บ้าน คือหมู่บ้านดอนแก่นเท่า หมู่บ้านโสกใหญ่ และหมู่บ้านโสกน้ำขุ่น ซึ่งเป็นหมู่บ้านด่านหน้าก่อนที่จะมาถึงวัดดูน ช่วยกันสร้างศาลาโรงฉัน พร้อมด้วยกุฏิให้ท่าน ๑ หลัง
วัดดูนนั้น แท้จริงแล้วจะมีสภาพเป็นเพียงสำนักสงฆ์ก็ตาม แต่ชาวบ้านก็เรียกสถานที่จำพรรษาของหลวงพ่อสีทนว่า “วัด” โดยเรียกชื่อว่าวัดดูน (ดูน-น้ำที่ซึมไหลออกมาตลอดปี จนกลายเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่) และต่อมา หลวงพ่อสีทนก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น วัดอุดมคงคาคีรีเขต อันมีความหมายตรงกับความเป็นจริงตามสภาพแวดล้อมว่า วัดที่มีน้ำอันอุดมสมบูรณ์และภูเขาเป็นอาณาเขต
เมื่อแรกที่หลวงปู่ผางธุดงค์มายังภูผาแดงนั้น แม้ท่านทั้งสองจะปฏิบัติธรรมอยู่ในบริเวณที่ห่างกันเพียง ๑ กิโลเมตร เท่านั้น แต่ก็เหมือนว่าพระกรรมฐานทั้งสององค์นี้จะนั่งหันหลังให้กันเพราะต่างองค์ต่างนั่งภาวนาในที่ของตนเอง คือหลวงปู่ผางอยู่ในถ้ำกงเกวียนบนเขา ส่วนพระอาจารย์มหาสีทนอยู่วัดดูน บริเวณเชิงเขา
อยู่มาวันหนึ่ง เป็นเวลากลางคืน ชาวบ้านต้องเกิดตระหนกตกใจกันทั่วหมู่บ้าน เพราะบนดอยภูผาแดงได้บังเกิดแสงสว่างอันประหลาดซึ่งทอแสงเป็นรัศมีกว้างปกคลุมภูผาแดงโดยทั่วไป
สีแสงนั้นงดงามยิ่งนัก มองดูแล้วเย็นจิตเย็นใจอย่างประหลาด ต่างก็หลากใจไปตามๆ กัน
เพราะตั้งแต่เกิดมาลืมตามองเห็นภูผาแดงก็ไม่เคยเห็นสีแสงอย่างเช่นคืนนี้ และแสงที่เป็นรัศมีที่น่าอัศจรรย์นี้ก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
วันรุ่งขึ้น ชาวบ้านได้คัดเลือกผู้ชายใจแกล้วกล้าได้กลุ่มหนึ่งเดินทางขึ้นดอยหรือภูผาแดง ซึ่งไม่ยากในการค้นหาที่มาของแสงประหลาด เพราะเป็นภูเขาลูกเล็กๆ เตี้ยๆ
เมื่อทุกคนขึ้นไปถึง ก็พบกับหลวงปู่ผาง พระที่เคยออกรับบาตรโปรดพวกเขานั่นเอง
ชาวบ้านแสนจะดีใจ ที่ได้พบผู้วิเศษด้วยศีลธรรมและเป็นพระสงฆ์ที่มีความสงบเสงี่ยมอันหาได้ยาก
ดังนั้นชาวบ้านจึงร่วมกันนิมนต์ให้ท่านไปจำพรรษาที่วัดดูนซึ่งอยู่ที่เชิงเขา
พ.ศ. ๒๔๙๒
เมื่อหลวงปู่ผางได้มาถึงวัดดูน ซึ่งในขณะนั้น มีเพียง กุฏิ ๑ หลัง และศาลาโรงฉันอีก ๑ หลัง เท่านั้น ท่านก็ได้พบกับหลวงปู่มหาสีทนเป็นครั้งแรก เรื่องราวในช่วงประวัติดังกล่าว หลวงปู่ผางได้เล่าไว้ในหนังสือรับรองการสร้างวัด ที่ท่านได้ให้การไว้กับกรมป่าไม้ในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๒๓ เมื่อครั้งที่ท่านในฐานะเจ้าอาวาสวัดอุดมคงคาคีรีเขต ได้ทำเรื่องขอกันพื้นที่วัดจำนวน ๔๘๐ ไร่ ออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ไว้ดังนี้
ได้พูดคุยอยู่กับท่านพระมหาสีทน ตอนเย็นในช่วงที่อยู่ด้วยกันเป็นประจำ ญาพ่อ (หลวงปู่ผาง) ถามท่านพระมหาสีทนว่า ได้มาปฏิบัติกรรมฐานอยู่องค์เดียวอย่างนี้กี่ปีแล้ว ท่านตอบว่า ตั้งแต่ผมเข้ามาอยู่ที่นี้ราวๆ ๑๐ ปีเห็นจะได้ (เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒) ตอนผมเข้ามาอยู่ใหม่ๆ สัตว์ร้ายนานาชนิดมาก และชุกชุมจนไม่มีใครกล้าเข้ามาในบริเวณนี้ได้เลย ท่านพระมหาสีทนพูดต่อไปว่า ตอนกลางคืนของทุกๆ คืน เสือก็มาหาผมบ้าง ช้างก็มาหาผมบ้าง ยังไม่มีใครสนใจผมหรอกในตอนนั้น เพราะเขากลัวสัตว์ร้าย ผมออกไปบิณฑบาต บ้านโสกใหญ่บ้าง บ้านดอนแก่นเท่าบ้าง บ้านโสกน้ำขุ่นบ้าง ตอนแรกเขายังไม่ศรัทธาเลย เด็กๆ พากันวิ่งหนีเวลาเห็นผมไปบิณฑบาต ผมก็นึกสงสารเขามาก เขาคงจะกลัวถึงได้วิ่งหนี แต่พอนานๆ เข้า เขาก็ไม่กลัว ผู้เฒ่าผู้แก่จะมาทำกุฏิถวายผมเหมือนกัน แต่ผมไม่ให้เขาทำ เพราะผมยังไม่แน่ว่าจะธุดงค์ต่อไปไหนอีก ท่านมาก็ดีเหมือนกัน ผมกำลังอยากมีเพื่อนอยู่พอดี ผมขอนิมนต์อยู่ที่นี้นะ (หลวงปู่ผางตอบว่า) ผมขอคิดดูก่อน ถ้ามันสะดวก ผมก็จะอยู่ เราอยู่ด้วยกันมาอีกประมาณ ๔ – ๕ ปี ท่านพระมหาสีทนก็ขอลา ออกธุดงค์ไปทางภาคเหนือ ไม่กลับมาอีกเลย ตอนเราอยู่ด้วยกัน ได้พาญาติโยมสร้างกุฏิขึ้น ๒ หลัง ศาลาพักฉันข้าว ๑ หลัง ตอนนั้นมีทายกทายิกาช่วยกันสร้าง ทั้งสามหมู่บ้านด้วยกัน มีทายกทายิกาประจำวัดตอนนั้น ได้แก่ ๑. นายผง บ้านโสกน้ำขุ่น ๒. นายหอม บ้านดอนแก่นเท่า ๓. นายสม บ้านโสกใหญ่ เป็นทายกอุปัฏฐากวัด ตอนนั้นยังไม่มีใครสนใจทำหลักฐานอะไรไว้ เพราะไม่มีผู้เขียนหนังสือได้กันเลยในตอนนั้น การคมนาคมก็ไม่สะดวก เพราะอยู่ห่างจากตัวเมืองมาก” |
ถึงหลวงปู่ผางจะอายุมากกว่าพระอาจารย์มหาสีทน (หลวงปู่ผางแก่กว่าพระมหาสีทน ๔ ปี) แต่ตามธรรมเนียมพระที่นับอาวุโสจากพรรษาที่บวช (พระมหาสีทนมีพรรษามากกว่าหลวงปู่ผาง ๑๕ ปี) หลวงปู่ผางผู้มาเยือนจึงได้ก้มลงกราบพระอาจารย์มหาสีทนและตกลงจำพรรษาที่วัดดูน
พระอาจารย์มหาสีทนนั้นท่านเป็นพระป่ากรรมฐานที่มีวิชาอาคม หลังจากท่านสอบเปรียญธรรม ๓ ประโยคได้ ท่านจึงออกเดินธุดงค์แสวงหาความสงบและเผยแผ่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า รวมถึงการสร้างวัดวาอารามและถาวรวัตถุต่างๆ ไว้ในพระพุทธศาสนาหลายแห่ง
ประมาณว่าเมื่อท่านเดินธุดงค์ไปตามสถานที่ใด และพบว่าวัดไหนอยู่ในสภาพทรุดโทรม ท่านก็จะอยู่ช่วยบูรณะ ส่วนบางสถานที่หากท่านพิจารณาเห็นว่าที่นี่เหมาะสม ท่านก็จะสร้างวัดและถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆ ให้กับเจ้าอาวาสก่อนที่ท่านจะออกเดินธุดงค์ต่อไป ทำให้ท่านเป็นพระที่มีลูกศิษย์มากมาย
จนเมื่อท่านได้เดินธุดงค์มาถึงบริเวณเขตวัดดูน ซึ่งในระยะแรกที่พระอาจารย์มหาสีทนอยู่จำพรรษา สิ่งปลูกสร้างในวัดมีเพียงศาลาและกุฏิหลังคาแฝกเพียงหลังเดียวเท่านั้น ไม่มีใครทราบว่า เพราะเหตุใดพระอาจารย์มหาสีทนจึงมิได้ขยับขยายหรือเร่งรีบในการก่อสร้างเสนาสนะแต่อย่างใด ผิดกับวัดอื่นๆ ที่ท่านเคยสร้างมา ประหนึ่งเหมือนท่านจะรอคอยบางอย่าง
จนกระทั่งอีก ๑๐ ปีต่อมา เหตุผลของการรอคอยก็ปรากฏ
ทั้งนี้เพราะพระอาจารย์มหาสีทนเหมือนหนึ่งได้ทราบแล้วว่าต่อไปวัดอุดมคงคาคีรีเขตแห่งนี้ จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นด้วยฝีมือและบารมีของพระภิกษุผู้มาเยือน ดังนั้นเมื่อหลวงปู่ผางได้ถวายตัวเป็นศิษย์ ท่านจึงได้เมตตาแนะนำการปฏิบัติกรรมฐานพร้อมกับถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆ ให้หลวงปู่ผางจนหมดสิ้น
ด้วยทุนบารมีเดิมที่มีอยู่ติดตัวมาตั้งแต่อดีตชาติ ทำให้ในเวลาไม่นานนักหลวงปู่ผางสามารถเรียนรู้และแตกฉานในสิ่งต่างๆ ที่พระอาจารย์มหาสีทนได้สอน และเมื่อพระอาจารย์มหาสีทนได้พิจารณาแล้วเห็นว่าหลวงปู่ผางสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเองแล้ว พระมหาสีทนก็ออกธุดงค์ไปทางภูเก้า เขตท้องที่อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี และไม่ได้กลับมาอีกเลย
ในเรื่องการเป็นศิษย์เป็นอาจารย์กันนั้น “ส.ธำรงค์ศาสน์” ซึ่งเป็นผู้เขียนประวัติของพระอาจารย์สีทน ตามข้อมูลที่ได้จากการไปกราบนมัสการหลวงปู่พระมหาสีทนด้วยตัวเอง และในบทความตามคำบอกของหลวงปู่พระมหาสีทน สมัยหลวงปู่ยังทรงธาตุขันธ์อยู่ ประมาณปี ๒๕๑๗ ช่วงย้ายมาจากวัดสันติกาวาส อ.เซกา จ.หนองคาย มารักษาอาการอาพาธที่โรงบาลศรีนครินทร์ ขอนแก่น โดยจำพรรษาที่วัดสมศรี บ้านพระคือ ขอนแก่น ได้ระบุไว้ตอนหนึ่งว่า
“ตอนหนึ่งผู้เขียนเรียนถามหลวงปู่ว่า ‘หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต วัดอุดมคงคาคีรีเขตที่โด่งดังอยู่ในขณะนี้ หลวงปู่เคยรู้จักบ้างไหม?’
‘หลวงปู่ผางนั่นหรือ ?’ หลวงปู่ทวนคำถามพร้อมกับมองหน้าผู้เขียนแล้วยิ้มให้เล็กน้อยและพูดต่อไปว่า
‘หลวงปู่ผางก็ลูกศิษย์ของเราเอง คราวที่เราไปสร้างวัดที่อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ก็ได้หลวงปู่ผางนี้แหละไปช่วยแรงหนึ่ง อยู่ด้วยจนตลอดพรรษา วัดอุดมคงคาคีรีเขตที่ท่านอยู่ทุกวันนี้ ก็เราเองเป็นผู้วิ่งเต้นช่วยเหลือให้เป็นวัดขึ้นมาได้’
ผู้เขียน (ส. ธำรงค์ศาสน์) ฟังแล้วก็รู้สึกภูมิใจ ที่หลวงปู่มีลูกศิษย์ที่ขึ้นชื่อลือนาม มีคนเคารพเลื่อมใสเป็นอย่างมากในขณะนี้”
เมื่อแรกที่หลวงปู่ผางรับนิมนต์จากชาวบ้าน ลงจากภูผาแดงมาพำนักอยู่ที่วัดดูนและได้พบกับพระมหาสีทนนั้น สิ่งก่อสร้างในวัดยังคงมีเพียงกุฏิหลังคามุงแฝกของพระมหาสีทน ๑ หลัง และศาลาโรงฉันอีก ๑ หลังเท่านั้น หลวงปู่ผางจึงเลือกที่จะปักกลดพักอยู่ที่ข้างโพรงที่มีน้ำซึมออกมาตลอดทั้งปี ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ดูน”
สละร่างให้งูยักษ์กิน
หลังจากพักอยู่ข้างน้ำดูนได้ ๗ วันแล้ว ท่านจึงได้ย้ายไปพักที่แห่งใหม่ ได้ที่เหมาะใต้พุ่มไม้หนามีพลาญหินอยู่ใต้ต้นไม้นั้น ( ปัจจุบันอยู่หน้าอุโบสถวัดดูน ) ปักกลดปฏิบัติภาวนาที่นี่ คืนแรกก็ปกติ เงียบไม่มีอะไร ตกคืนที่สองตอนเย็น ขณะเดินจงกรมอยู่ สังเกตเห็นว่ามันช่างเงียบผิดปกติเสียจริงๆ
ท่านตั้งท่าระวัง ขณะต่อมาท่านก็ต้องขนลุกไปทั้งตัว เมื่อได้ยินเสียงดังฮอกๆ ท่านว่าเห็นงูใหญ่ตัวเท่าต้นขา กำลังเลื้อยเข้าไปในรูหิน ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับที่ท่านพักนั่นเอง
เจอเจ้าถิ่นเข้าให้แล้วไหมล่ะ หรือว่าเราปักกลดขวางทาง
นี่น่ะ ถูกที่ดีแล้ว ตัดสินใจดั้นด้นมาถึงนี่แล้ว ต้องลองกันสักตั้งให้รู้ดำรู้แดงไปเลย
ท่านก็ยิ่งเร่งตั้งใจภาวนา พอตกคืนที่สาม กำลังเดินจงกรมอยู่ ก็ได้ยินเสียงผิดปกติอีก ต้องเป็นเสียงงูตัวเมื่อวานนี้แน่ๆ เสียงใบไม้กับพลาญหินเสียดสีกันดังวี๊ดๆ วื๊ดๆๆ ฮอกๆๆๆ ใกล้เข้ามาๆ เหมือนกับรู้ตัวว่าอะไรจะเกิดขึ้น จึงได้นั่งลงข้างกลด นั่งนิ่งระงับความตื่นเต้นไว้ได้ กำหนดถามใจตัวเองดูว่า "กลัวงูใหญ่ตัวนี้หรือไม่ ?" ใจตอบตัวเองว่า "ไม่กลัว" จึงได้กำหนดจิตแผ่เมตตาให้มัน จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด
ขณะงูใหญ่เลื้อยมาอยู่ตรงหน้าท่าน อัาปากกว้าง แลบลิ้นแผล็บๆๆ ทำท่าเหมือนจะกินท่านเป็นอาหารอยู่นั้น ท่านจึงพูดกับมันว่า "ถ้าจะกินเราต้องกินให้หมดทั้งบริขาร กลด บาตร จีวร ต้องกินเข้าไปให้หมด อย่าให้เหลือ เรายอมตายแล้ว สละหมดแล้วทุกอย่างแม้ชีวิต"
ขณะนั้นจิตของท่านตั้งมั่นแน่นเหมือนหิน มีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา แนบมือเข้ากับลำตัว ชิดเท้าเข้ากัน นอนเหยียดยาวเพื่อให้งูกิน
งูตัวนั้นมันคงหิวจัดกระมัง อดอาหารมานานหลายวัน คงหาสัตว์อื่นกินเป็นอาหารไม่ได้แล้ว มันจึงมาหากินคน ท่านว่ามันเริ่มขยอกกลืนกินท่านเข้าไปในปากของมันเรื่อยๆๆ มันกลืนกินตัวเราเข้าไปถึงไหน เย้นเย็น เย็นยะเยือกไปถึงนั่น
ขณะที่หลวงปู่อยู่ในปากของงูใหญ่นั้น ท่านก็กำหนดภาวนาวางความตาย ตายๆๆๆๆ จนหมดความกลัวตาย เมื่อจิตใจทอดอาลัยเสียดายในชีวิตได้แล้ว จิตก็รวมวูบเข้าเป็นสมาธิ ผู้รู้ก็เป็นอันหนึ่งต่างหาก กายเวทนาก็เป็นอันหนึ่งต่างหาก สติตามดูรู้หมด เป็นอย่างนั้นอยู่นาน เมื่อจิตถอนออกมาแล้ว
ไม่มีความโกรธหรือผูกอาฆาตพยาบาทมันเลย มีแต่ความองอาจ กล้าหาญ ไม่สะทกสะท้าน กำหนดจิตแผ่เมตตาให้ และภาวนากำหนดดูมันอยู่อย่างนั้น
มันขยอกตัวท่านเข้าไปในท้อง เข้าไปช้าๆๆ จนกระทั่งถึงลำคอหลวงปู่ แล้วมันก็หยุดอยู่แค่นั้น ไม่กินต่อ
ท่านก็เลยพูดกับมันว่า "หยังจังบ่กินให้หมดทั้งโตล่ะ ถ้ากินบ่หมด เฮาสิเอาศอกถองพุงเอาเด๊ะ " (ทำไมไม่กินให้หมดทั้งตัวล่ะ ถ้ากินไม่หมด เราจะเอาศอกกระทุ้งเอาน่ะ) ว่าแล้วท่านก็เอาศอกกระทุ้งมันเบาๆ จากนั้นมันก็เริ่มคายขยอกลำตัวท่านออกมาจากปากของมัน แล้วมันก็เลื้อยถอยออกห่างไปนิดหนึ่ง แล้วก็ชูคอยกหัวขึ้นลงๆ อยู่สามครั้ง เหมือนว่ากราบขอขมาลาโทษ ขออโหสิกรรมที่ได้ล่วงเกินท่าน แล้วมันก็เลื้อยเข้ารูไป
นับจากนั้นมา ท่านว่าไม่เคยเห็นงูตัวนั้นปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย ท่านว่ามันเริ่มกินท่านตั้งแต่ ๓ ทุ่ม จนกระทั่งถึงตี ๕ จึงได้คายท่านออกจากปาก สบงจีวรที่ท่านนุ่งห่มอยู่นั้นเปียกปอนหมดเลย (ปัจจุบันที่ตรงนี้ ลูกศิษย์ ได้ปั้นรูปงูใหญ่ไว้เป็นอนุสรณ์)
เช้ามา ท่านเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน
ชาวบ้านถาม "ทำไมหลวงพ่อจึงห่มจีวรเปียกมาบิณฑบาตล่ะ”
ท่านว่า "เมื่อคืนนี้สู้กับเขาทั้งคืน"
ท่านเลยเล่าเหตุการณ์ที่ได้ประสบเมื่อคืนนี้ให้ชาวบ้านฟัง เมื่อชาวบ้านได้ฟังดังนั้น ต่างก็อัศจรรย์ยิ่งนัก ยิ่งเคารพเลื่อมใสศรัทธาในหลวงปู่มากขึ้น ต่อมาชาวบ้านจึงได้ร่วมกันมาสร้างกระต๊อบให้หลังเล็กๆ พอได้หลบแดดหลบฝน มุงด้วยหญ้าคา กั้นข้างฝาด้วยแถบใบตองกุง ใบตองชาด
( จากหนังสือ " ชีวประวัติ ปฏิปทาและคติธรรม ของหลวงปู่ผาง จิตฺตคุตโต " )
นิมิตเห็นสถานที่ตั้งพระเจดีย์กู่แก้ว
วันหนึ่ง ขณะที่หลวงปู่บำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ ท่านได้นิมิตในสมาธิว่าได้เดินไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของที่พัก จนมาถึงสถานที่หนึ่ง (ซึ่งปัจจุบันที่ตั้งของพระเจดีย์กู่แก้ว) ณ ที่นั้นท่านก็ได้เห็นรูขนาดใหญ่ มีซากปรักหักพัง มีเศษอิฐเศษหิน ลักษณะเหมือนเป็นเจดีย์โบราณอยู่ ท่านจึงขึ้นไปบนขอนไม้ซึ่งวางอยู่ข้างๆ รูขนาดใหญ่นั้น พอขึ้นไปบนขอนไม้แล้วตัวท่านก็ตกลงไปในรูใหญ่นั้น ต่อจากนั้นจิตก็ถอนออกจากสมาธิ จึงได้มาคิดพิจารณา ทราบว่าในอดีต ที่ตรงนี้เคยเป็นที่ภาวนาของหลวงปู่ และได้เห็นดวงแก้วส่งประกายขึ้นมาจากพื้นดิน
พอตื่นเช้ามาหลังจากฉันเสร็จแล้ว ท่านจึงได้เดินไปดูตามที่เห็นในนิมิตนั้น ก็มองเห็นว่ามีขอนไม้อยู่ข้างๆ รูจริงตามที่ท่านเห็นในนิมิต และบริเวณรอบๆ นั้นก็มองเห็นเป็นซากกู่เก่า (กู่ ภาษาอีสานใช้เรียก เจดีย์หรือพระธาตุ) มีลูกนิมิต, ใบเสมา, ซากอิฐดินเผา, เศษไห เศษหม้อโบราณ อยู่ทั่วไป หลวงปู่จึงมาปักกลด พักภาวนาที่กู่เก่านี้
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ท่านจึงได้สร้างเป็นเจดีย์ครอบไว้ เรียกกันว่า “พระเจดีย์กู่แก้ว” เพราะสร้างครอบลูกแก้วดวงใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๖ – ๗ นิ้ว และเมื่อถึงวันสำคัญมักจะมีปาฏิหาริย์ปรากฏดวงไฟใหญ่เปล่งแสงสว่างไสวไปทั่ววัด และเชื่อกันว่า เหล่าเทพเทวดา พญานาค และภูตผีที่สถิตอยู่ที่ภูผาแดงต่างลงมาฟังเทศน์ฟังธรรมจากองค์หลวงปู่ ทางถ้ำลึกลับบนยอดภูผาแดง (ถ้ำกงเกวียน) มาที่รูใหญ่ที่กู่แก้วที่อยู่ในวัดบริเวณเชิงเขา ชาวบ้านที่อยู่ด้านล่างภูผาแดงต่างได้เห็นปาฏิหาริย์โดยทั่วกัน หลังจากสร้างพระเจดีย์กู่แก้วเสร็จหลวงปู่ได้ปิดปากถ้ำ คงไว้ซึ่งตำนานชั่วนิรันดร์...
ภาวนาอย่างอุกฤษฏ์
ท่านพักบำเพ็ญเพียรอยู่ที่กู่เก่าได้ ๗ วัน แล้วจึงย้ายไปพักที่กุฏิบุ่ง (บุ่ง หมายถึงสถานที่ลุ่ม มีแหล่งน้ำ มีต้นไม้และเถาวัลย์ปกคลุม) ซึ่งชาวบ้านสร้างถวายท่าน ณ กุฏิหลังนี้ท่านตั้งสัจจะอธิษฐานว่าจะอดอาหาร ๕๐ วัน
๖ วันแรกท่านไม่ฉันอะไรเลย แม้แต่น้ำก็ไม่ฉัน หลังจากนั้นจึงฉันแต่น้ำเปล่าเท่านั้น ตั้งใจปฏิบัติภาวนาอย่างอุกฤษฏ์ เอาเป็นเอาตายเข้าว่า นั่งสมาธิทั้งวัน เดินจงกรมตลอดทั้งคืน บางทีก็นั่งสมาธิตลอดคืน สลับกับเดินจงกรมทั้งวัน ทำอยู่อย่างนั้นจนร่างกายอ่อนเพลียมาก เดินไม่ไหว เดินไม่ไหวก็ไม่ต้องเดิน ท่านก็ได้แต่นั่งภาวนาเอา ร่างกายท่านซูบผอมมาก เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
พอชาวบ้านเห็นดังนั้น ต่างก็ตกอกตกใจ บางคนสงสารท่านมากถึงกับร้องไห้อ้อนวอนให้ท่านฉันอาหารเสีย ท่านก็ไม่ยอม พองดอาหารมาได้ ๔๕ วัน เมื่อขาดสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายมากๆ เข้า ท่านก็ไม่สามารถลุกนั่งได้
แต่จิตใจท่านไม่เคยย่อท้อ กลับมีกำลังเข้มแข็ง จิตใจเหมือนจะเหาะจะบิน เพราะมีความปีติสุขเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง มีความอิ่มอกอิ่มใจดื่มด่ำอยู่ในรสแห่งพระธรรม ดังคำที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธมฺมรโส สพฺพรสํ ชินาติ รสแห่งธรรม ย่อมชนะซึ่งรสทั้งปวง ดังนี้ ท่านมีความรื่นเริงบันเทิงเบิกบาน มุ่งมั่นอยู่กับอรรถกับธรรมที่กำลังพินิจพิจารณาอยู่ ยิ่งอดก็ยิ่งได้กำลังใจ ภาวนาสะดวกยิ่งขึ้น จิตสงบเป็นสมาธิได้ง่าย เมื่อพิจารณาทางด้านปัญญายิ่งคล่องแคล่ว
หลวงปู่สั่งเผาศาลตาปู่
ในสมัยก่อนชาวบ้านแถวมัญจาคีรีนับถือภูตผีมาก แต่ละหมู่บ้านก็มีตูบตาปู่ (ศาลเจ้า) ไว้ประจำหมู่บ้านเพื่อกราบไหว้ เซ่นสรวงบนบาน บอกกล่าวขอความคุ้มครอง หลวงปู่ผางสั่งสอนชาวบ้าน ให้เลิกนับถือผี หันมานับถือพระรัตนตรัย แต่ชาวบ้านเกรงกลัวผีจะมาทำร้าย ทำให้เกิดความลำบาก ไม่อาจเลิกนับถือผีได้
หลวงปู่มีอุบายอันชาญฉลาด เพื่อที่จะให้ชาวบ้านได้เห็นว่า พระรัตนตรัยย่อมมีอานุภาพมากกว่าผี ท่านจึงให้ชาวบ้านเผาตูบตาปู่ทิ้ง เมื่อชาวบ้านไม่กล้าเผา ท่านก็ให้กำลังใจชาวบ้าน และบอกว่า ถ้าเจ้าปู่เจ้าผี เจ้าของตูบตาปู่มีจริง ก็ให้เข้ามาดับไฟเอาเอง ชาวบ้านจึงได้กล้าเผา
เรื่องเล่าระหว่างธุดงค์
ในช่วงเวลาตั้งแต่ปี ๒๔๙๒ เป็นต้นมา ถึงแม้เวลาส่วนใหญ่ท่านจะจำพรรษาอยู่ที่วัดอุดมคงคาคีรีเขต แต่ในเวลาออกพรรษา ท่านก็ยังคงออกเดินธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ และบางปีท่านก็ยังไปจำพรรษายังวัดที่มีผู้นิมนต์ให้ท่านไปจำพรรษาอยู่ในโอกาสพิเศษ
เรื่องเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์พิเศษต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการธุดงค์ของท่านนั้นได้มีอยู่มากมาย แต่ก็ไม่สามารถระบุเฉพาะเจาะจงลงไปว่าเรื่องใดเกิดขึ้นในปีใด จึงได้รวบรวมมาแสดงไว้ในหัวข้อนี้
เรื่องเสือเฝ้าดูหลวงปู่ผาง
คราวหนึ่งหลวงปู่ได้พักปักกลดอยู่ที่ป่าซึ่งเป็นดงเสือโคร่งลายพาดกลอน ในคืนนั้นหลังจากที่ท่านได้สวดมนต์แล้ว ก็ออกไปนั่งสมาธิภาวนาธรรมให้แก่สัตว์โลก ในขณะนั้นมีเสือโคร่งลายพาดกลอนตัวหนึ่ง ยืนมองดูท่านอยู่ แต่ก็มิได้แสดงอาการดุร้ายแต่อย่างใด ครั้นพอหลวงปู่ออกจากภาวนาก็มาเดินจงกรม ท่านเดินไป เดินมา อยู่อย่างนั้น เสือตัวนั้นเกิดความสงสัย จึงค่อยๆ คืบคลานเข้าไปดูใกล้ๆ ข้างๆ ทางที่หลวงปู่เดินจงกรม มันหมอบดูเฉย หลวงปู่ก็มองเห็นมันอยู่ แต่ท่านมิได้สนใจแต่อย่างใด สายตาของท่านทอดต่ำ ไม่มองดูอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่เดินจงกรมอย่างเดียว
เสือโคร่งตัวนั้นมองดูหลวงปู่ด้วยความสนใจเป็นเวลานาน ด้วยความเมตตาของหลวงปู่ที่เห็นว่ามันมาดูด้วยลักษะเฝ้าท่านเช่นนี้ จึงพูดขึ้นพอได้ยินไปถึงเสือโคร่งว่า “เจ้าเสือโคร่งเอ๋ย เวลานี้เป็นเวลาค่ำคืนแล้วนะ และเป็นเวลาที่เจ้าต้องไปหาอาหารกินเยี่ยงสัตว์อื่น จะมานอนมองอยู่อย่างนี้ไม่หิวหรือ...ถ้าหิวก็ไปหากินเสียเถิด เราก็จะเดินจงกรมปฏิบัติธรรมของเราเยี่ยงนี้ ไม่หนีไปไหน”
เหมือนปาฏิหาริย์ พอท่านพูดจบคำลงเสือโคร่งตัวนั้นเข้าใจในคำพูดของท่านกระโดดหายไป เสียง...โฮก...โครมคราม คล้ายดังกับดีใจที่ได้รับอนุญาตจากหลวงปู่
เรื่องจริงที่นำมาเล่านี้เป็นตำนานของวัดดูน ที่หากท่านได้มีโอกาสไปกราบย้อนรอยตำนาน จะเห็นบรรดารูปปั้นของสัตว์ในตำนาน ของพระอริยสงฆ์ผู้ทรงอภิญญาและเปี่ยมด้วยเมตตาปาฏิหาริย์ หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต แห่งเทือกเขาภูผาแดง อยู่ตามพุทธสถานศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ภายในพื้นที่ ๔๘๐ ไร่ของวัดดูน
ผจญฝูงควาย
วันหนึ่งขณะที่ท่านเดินธุดงค์ผ่านดงแม่เผด ตำบลนาขาม อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ก่อนจะถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งตอนบ่ายๆ มีควายฝูงใหญ่ประมาณสี่สิบกว่าตัว กำลังเล่นปลัก นอนกลิ้งเกลือกไปมาอยู่ในโคลนตมกลางทุ่ง มันเป็นควายของชาวบ้าน เมื่อหมดฤดูทำนา เขาก็ปล่อยมันเข้าป่าเข้าดงไปหากินเอง สมัยก่อนไม่ได้เลี้ยงวัวเลี้ยงควายลำบากเหมือนสมัยนี้ ปล่อยไว้ตามป่าอย่างนั้นแหละ เพราะไม่มีขโมย โจร เหมือนทุกวันนี้ พอถึงหน้าฤดูทำนา เจ้าของก็ไปไล่ต้อนกลับเอามาทำนา ลากแอกลากไถใส่คราด สาเหตุที่มันชอบเล่นปลักเล่นโคลน ก็เพื่อป้องกันตัวเองจากทาก เห็บ เหา ยุง ริ้น เหลือบ ที่ชอบมากัดกินเลือดมันนั่นเอง เพราะในดงในป่า มีสัตว์ที่เกาะกินเลือดวัวควาย หรือสัตว์อื่นชุกชุม โดยเฉพาะเหลือบนี่ ตัวมันคล้ายๆ แมลงวันป่า เกาะปุ๊บดูดเลือดปั๊บ โดนเกาะดูดเลือดแต่ละตัวนี่ต้องสะดุ้งโหยงเลยทีเดียว เจ็บมากเลย
ตัวทากนี่ก็อันตราย ลักษณะมันเหมือนปลิงเข็ม เล็กเท่าก้านไม้ขีด หรือใหญ่กว่านิดหน่อย เวลามันกัดเรา ทั้งๆ ที่เราก็ระวังอย่างดีแล้ว ยังไม่รู้ว่ามันมาเกาะดูดเลือดเรากินตั้งแต่เมื่อไร มันชอบไต่เข้าไปกัดตามร่มผ้า ถ้าโดนกัดต้องรู้วิธีเอาออก ถ้าดึงมันออก เลือดเราจะไหลไม่หยุด อันนี้ให้ระวัง ต้องรู้วิธีแก้ คืออย่าเพิ่งดึงมันออก เอายาฉุนชุบน้ำนิดหนึ่ง แล้วบีบใส่ตัวมันให้โดนตรงที่มันกัด เมื่อมันเหม็นกลิ่นยาฉุนก็จะหลุดออกไปเอง อันนี้ไม่เป็นไร รู้สึกคันนิดๆ เลือดก็หยุดไหล
เห็บนี่ก็เหมือนกัน นักเดินป่าทั้งหลายต่างรู้กิตติศัพท์ของมันดี อันตรายพอๆ กัน ผู้ที่โดนกัดต้องรู้วิธีเอาออก อย่าเพิ่งดึงออกทันที ถ้าลงว่ามันได้ฝังเขี้ยวดูดกินเลือดเราแล้ว ถ้าไม่อิ่มจนท้องป่องแล้วเป็นไม่หลุด ถูกดึงออกก็ออกแต่ตัว ส่วนเขี้ยวของมันยังฝังตัวเราอยู่ ผู้ที่แพ้พิษของมันจะออกตุ่มเปื่อย ลามไปเรื่อยๆ รักษาไม่หายง่ายๆ หรือถึงกับเป็นไข้ นี่เคยเห็นมาแล้ว ต้องเอายาหม่องนี่แหละ ทาตรงที่มันกัดแล้วมันจะหลุดออกเอง
ท่านกำลังเดินลัดเลาะไปตามคันนา ห่างจากฝูงควายประมาณ ๓๐ เมตร ทันใดท่านก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อมองเห็นควายฝูงนั้นแสดงอาการฟืดฟาดๆ ขู่พระอาคันตุกะผู้มาเยือน พร้อมกันลุกพรวดพราด ท่าทางไม่ประสงค์ดี สายตาของมันจ้องมองมายังท่าน แสดงอาการราวกับว่าเป็นศัตรูกันมานาน พร้อมกับวิ่งตะบึงตะบันเข้ามาหา เจอดีเข้าให้แล้วไหมล่ะ เราจะทำยังไงดี เอาล่ะ ตายเป็นตาย หนีไม่พ้นแล้วจะทำยังไง
เราพึ่งใครไม่ได้แล้ว มีแต่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์เท่านั้นแหละ เสี้ยววินาทีก่อนฝูงควายจะมาถึงตัวนั้น เมื่อตั้งสติได้ จึงกำหนดแผ่เมตตาจิตอย่างไม่มีประมาณ เจาะจงพุ่งเป้าไปที่ควายฝูงนั้นทันที อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงอยู่เป็นสุขๆ ทุกเมื่อเถิด อัศจรรย์ใจนัก โอ คุณพระรัตนตรัย คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ ควายทั้งฝูงหยุดชะงักทันที กิริยาอาการที่เป็นศัตรู หรือดุร้ายก่อนหน้านี้ กลับกลายท่าทางเป็นมิตร เหมือนกับว่าท่านเป็นเจ้าของมัน ทำท่าสะบัดหูสะบัดหางเหมือนรู้จักกัน และได้เดินนำหน้าหลวงปู่เข้าสู่หมู่บ้าน ท่านก็เดินตามหลังพวกมันไป
เมื่อท่านเดินเข้าไปถึงในหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างอัศจรรย์ใจมาก และได้เล่าให้ท่านฟังจึงได้รู้ว่า ควายฝูงนี้ดุร้ายมาก เคยไล่ขวิดไล่ชนพระเณรมรณภาพมาแล้วหลายรูป แม้ท่านเดินทางผ่านเลยไปสู่หมู่บ้านข้างหน้า ควายฝูงนี้มันก็ยังเดินนำไปส่งถึงหมู่บ้านนั้นอีก มันก็น่าแปลกอยู่
และก็มีอยู่ครั้งหนึ่งอีกเหมือนกัน แต่ครั้งนี้ท่านเที่ยวธุดงค์อยู่อุบลฯ ไปด้วยกันกับพระอีกสองรูป ไปถึงกลางทุ่ง ไปเจอเอาวัวฝูงใหญ่ พอมันเห็นผ้าเหลืองๆ เท่านั้นแหละ ได้เรื่องเลย วิ่งไล่ขวิดพระที่ไปด้วยผ้าเหลืองปลิวว่อน บาตรกระเด็นไปคนละทิศละทาง สัญชาตญาณความกลัวตาย ก็ย่อมวิ่งเอาตัวรอดไว้ก่อนเป็นธรรมดา เห็นต้นไม้ปั๊บไม่รู้ขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ตั้งแต่เมื่อไร แต่หลวงปู่เองกลับยืนนิ่งแผ่เมตตาให้พวกมัน จึงไม่เป็นอะไรเลย
ธรรมดาว่าวัวหรือควาย มักจะไม่ค่อยถูกกันกับพระหรือสีผ้าเหลืองเท่าไรนัก ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว แม้ในครั้งพุทธกาลก็เคยมี อย่างเช่น พระพาหิยทารุจีริยเถระเป็นต้น ถูกวัวแม่ลูกอ่อนขวิดเอาจนถึงมรณภาพ ขณะที่ท่านกำลังแสวงหาเศษผ้าตามกองขยะ เพื่อเอามาทำเป็นสบงจีวรนุ่งห่ม ในประวัติพระเถระเล่าว่า วัวตัวนี้เคยเป็นคู่เวรคู่กรรม เข่นฆ่ากันมาแต่ชาติปางก่อน หลายภพหลายชาติ
คงเป็นเพราะว่า หลวงปู่ไม่เคยมีเวรมีกรรมกับพวกมันกระมัง จึงทำให้มันละพยศ จากร้ายกลายมาเป็นดีด้วย อีกอย่างหนึ่งพลังจิตที่ประกอบด้วยเมตตาหาประมาณมิได้
ผจญช้างพลายตกมัน
ครั้งหนึ่งขณะที่หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต พักธุดงค์เจริญบำเพ็ญภาวนาอยู่กลางป่า และที่ท่านพักปักกลดอยู่นั้นเป็นดงช้างพลาย
บังเอิญช้างพลายหัวหน้าฝูงเกิดตกมัน พอเห็นหลวงปู่กำลังยืนทอดกริยาสงบอยู่เช่นนั้น ช้างตกมันตัวนั้นซึ่งมีความดุร้ายมาก ก็วิ่งรี่ตรงเข้ามาจะทำร้ายท่าน
แต่แทนที่หลวงปู่จะหลบหลีกกำบังท่านกลับยืนเฉยนิ่งอยู่กับที่ แผ่เมตตาจิตอันเยือกเย็นให้กับช้างพลายตกมันตัวนั้น
เมื่อช้างตัวนั้นวิ่งมาถึงก็หยุดพรืด คล้ายขาทั้ง ๔ ข้างถูกยึดตรึงเอาไว้ยืนเฉย
หูของมันกระพือไปมา แววตาเล็กๆ ยังกับปลาดุกนั้นส่ออาการดุร้าย หูสองข้างกระพือพัดไปมาอย่างน่าสะพรึงกลัว
หลวงปู่ แผ่เมตตาให้มัน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอันไมตรี
“พี่ช้างเอ๋ย เราและพี่ช้างเคยโกรธกันมาแต่ปางไหนกัน พี่ช้างจึงรีบเร่งจะมาเอาชีวิตเรา ถ้าแม้นว่าเราเคยทำบาปทำกรรมต่อกันมากับท่าน ก็เอาเถิด เรายินดีรับใช้เวรกรรม แต่ถ้าพี่ช้างกับเราไม่เคยมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกันมาก่อนแล้ว จะเอาอารมณ์ขุ่นมัวขณะตกมันมาคิดฆ่าแกงเราซึ่งเป็นพระและสละแล้วซึ่งกิเลส ตัณหา อุปาทาน ทั้งหลาย เพื่อหาทางวิมุตติ หลุดพ้น มันเป็นบาปกรรมแก่พี่ช้างนะ
ก็ดีเหมือนกัน ถ้าเราตายไปด้วยงวง ด้วยเท้า ของท่าน ก็ขอขอบใจที่สงเคราะห์ เราจะได้ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกต่อไป"
หลวงปู่พูดเสร็จก็หักเอากิ่งไม้เล็กๆ ที่อยู่ใกล้มือ เคาะหัวมันเบาๆ ๒-๓ ครั้ง แล้วยืนเฉยๆ
ฝ่ายช้างพลายตกมันได้สติก็นึกอายตัวเองที่ปล่อยอารมณ์หงุดหงิดขณะตกมันนั้น มาระบายอารมณ์กับพระผู้มีศีล มีธรรม มันไม่ยอมลงนรกเพราะทำร้ายพระผู้สละแล้วซึ่งกิเลสและมีกระแสเมตตาที่เปี่ยมล้น และด้วยกระแสเมตตาที่หลวงปู่ได้แผ่เมตตาให้ช้างพลายเชือกนั้นทำให้ฝูงช้างป่ายังวนเวียนอยู่ในป่าใกล้ๆ กับบริเวณที่หลวงปู่ปักกลดด้วยอาการสงบ
และเป็นที่น่าแปลกใจแก่ชาวบ้านที่ขึ้นไปหาของป่าว่าข้างๆ กลดพระธุดงค์มีรอยเท้าช้างและรอยเหมือนช้างหมอบอยู่ข้างกลดหลวงปู่จำนวนมาก
และเพื่อเป็นพุทธานุสติแก่อนุชนคนรุ่นหลังลูกศิษย์ลูกหาผู้ศรัทธาได้นำรูปปั้นช้างพลายในตำนานหลวงปู่มาไว้ที่หน้าประตูทางเข้าวัดดูน และใต้หอระฆังภายในพระเจดีย์ชัยมงคลตราบเท่าทุกวันนี้
หลวงปู่ถูกยิง
หลวงปู่ผางเคยถูกยิงขณะปักกลดภาวนาที่ป่าช้าแห่งหนึ่ง ผู้ยิงเป็นนายพรานที่นึกว่ากลดเป็นตัวสัตว์เพราะมืดมาก เมื่อเห็นกลดตะคุ่มๆ ในพุ่มไม้ก็ยกปืนยาวขึ้นประทับแล้วยิงทันที
“ แชะ...แชะ...แชะ ”
ปรากฏว่ายิงอย่างไรๆ ก็ไม่ออก ผู้ยิงได้เหนี่ยวไกยิงถึง ๔ ครั้ง เขาจึงแปลกใจมากค่อยๆ ย่องเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วก็ตกใจแทบสลบ เพราะภาพที่เห็นคือกลดพระธุดงค์ซึ่งเอามุ้งกลดลงหมด แต่นายพรานก็ไม่แน่ใจว่าในกลดจะมีพระอยู่หรือไม่ หลวงปู่ซึ่งภาวนาสังเกตอยู่แล้วก็เลิกมุ้งโผล่ศีรษะออกมาดู....
แล้วร้องถามว่า
“หัวอีหยัง...นั่น”
พรานกรรมหนักรีบตอบทันทีว่า “หัวคนครับ”
“คนอีหยังจั่งบ่มีตา”
นายพรานจึงรีบกราบขอขมาเป็นการใหญ่ที่ไปล่วงเกินท่านเข้า
จากนั้นก็ลุกหนีหายเข้าป่าไป....
พ.ศ. ๒๔๙๔
ปีนี้หลวงปู่ผางได้รื้อศาลาพักฉันข้าวหลังเดิมนั้นออก และปลูกสร้างศาลาหลังใหม่แทน เป็นอาคารไม้ ๑ หลัง กว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๒๐ เมตร และสร้างกุฎีเพิ่มอีก ๓ หลัง
พ.ศ. ๒๔๙๕ – พ.ศ. ๒๕๐๔
ช่วง ๑๐ ปีนี้ เป็นช่วงที่ไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติของหลวงปู่ปรากฏอยู่ในแหล่งข้อมูลใดเลย
พ.ศ. ๒๕๐๕ – พ.ศ. ๒๕๐๗
ปีพ.ศ. ๒๕๐๕ หลวงปู่ผางท่านได้ไปสร้างวัดขึ้นอีกแห่งหนึ่งที่บริเวณบ้านแจ้งทับม้า ต.นางาม อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น เพื่อให้พระภิกษุสามเณร ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในวัดอุดมคงคาคีรีเขต จะได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากวัดอุดมคงคาคีรีเขต ไปทางทิศตะวันออก ประมาณ ๔.๗ กิโลเมตร ปัจจุบันชาวบ้านเรียกว่า “วัดป่าพัฒนาคีรี หรือวัดบ้านแจ้ง” มีเนื้อที่ประมาณ ๔๐๐ ไร่ ได้สร้างศาลาไว้ ๑ หลัง กว้าง ๘ เมตร ยาว ๑๕ เมตร และสร้างฝายกั้นน้ำคอนกรีต กว้าง ๑.๕๐ เมตร ยาว ๒๕ เมตร สูง ๓ เมตร เพื่อเก็บน้ำไว้ใช้และดื่ม แล้วสร้างกุฎีอีก ๖ หลัง โดยใช้ไม้มุงด้วยสังกะสี
รวมศรัทธาสร้างถนน
แต่ก่อนนั้นถนนที่แยกมาจากถนนระหว่างอำเภอมัญจาคีรี-อำเภอแก้งคร้อ ไปวัดอุดมคงคาคีรีเขต (เส้นสีแดงในแผนที่วัดป่าพัฒนาคีรีข้างบน) ระยะทางประมาณ ๑๒ กิโลเมตร เป็นเส้นทางเล็กๆ แคบๆ คดเคี้ยว การคมนาคมไม่สะดวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝนลำบากมาก
จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ หลวงปู่จึงได้ประชุมชาวบ้านทุกหมู่บ้านที่ถนนผ่าน เพื่อช่วยกันพัฒนาตัดถนนใหม่ ให้มีเส้นทางที่ตรงขึ้น ได้มาตรฐาน ขนาดกว้างพอควร และที่ประชุมยอมรับมติที่หลวงปู่ปรารภและแนะนำ หลังจากมีมติทำถนนใหม่แล้ว ชาวบ้านทุกหมู่บ้านก็ร่วมแรงร่วมใจกัน พัฒนาจนกระทั่งแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ โดยหลวงปู่ได้อยู่เป็นประธานตลอด โดยไม่ได้ใช้งบประมาณของรัฐแต่ประการใด เป็นเส้นทางที่สำคัญของชาวบ้านในการคมนาคม เพื่อการเกษตร ขนส่ง และอื่นๆ มีรถยนต์รับส่งผู้โดยสารและรับส่งผลิตผลของเกษตรกรได้ แต่รถยนต์ก็วิ่งไม่สะดวกนักเพราะทางสายใหม่ไม่มีหินโรย
จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๓ รวม ๕ ปี หลวงปู่ผางร่วมกับทางราชการได้พัฒนาถนน จากช่องสามหมอ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ มาอำเภอมัญจาคีรี รวมทั้งถนนแยกเข้าบ้านนาแพงและ ถนนแยกจากบ้านแก้งคร้อน้อย เข้าไปยังวัดอุดมคงคาคีรีเขตด้วย
ในระหว่างการสร้างถนนอยู่นั้น ถนนบางช่วงต้องทำท่อ ซึ่งเป็นงานที่เกินความสามารถของชาวบ้าน และต้องอาศัยเครื่องไม้เครื่องมือเป็นเครื่องกลหนัก จึงได้ทำเรื่องขอร้องไปทาง กรป. กลาง กรุงเทพฯ ให้ช่างมาช่วยทำท่อถนนให้ และได้รับความร่วมมือจาก กรป.กลาง กรุงเทพฯ และหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่จังหวัดอุดรธานี ได้ส่งทหารจากกรมการขนส่งทางบก ซึ่งมี ร้อยเอกเกษม ฐิตาภรณ์ (ยศในขณะนั้น) เป็นหัวหน้าชุดพร้อมเครื่องมือ มาร่วมปฏิบัติงานสร้างถนนจากสามแยกปากทาง ที่หมู่บ้านแก้งคร้อน้อย ถึงวัดอุดมคงคาคีรีเขตดังกล่าว เป็นถนนขนาดกว้างประมาณ ๑๐ เมตร ยาว ๑๒ กิโลเมตร ลงหินลูกรังตลอดเส้นทาง สิ้นค่าก่อสร้างประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ บาท (ห้าแสนบาทถ้วน)
ร้อยเอกเกษม หัวหน้าชุดนายทหารที่ กรมการขนส่งทางบก ส่งมาร่วมปฏิบัติงานสร้างถนนนั้น เมื่อได้มาพบเห็นการปฏิบัติธรรมของหลวงปู่ ที่มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย มักน้อยสันโดษ ชอบอยู่ในที่วิเวกสงบสงัด ปรารภความเพียรสม่ำเสมอเป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอย่างแท้จริง จึงเกิดศรัทธาเลื่อมใส
แต่กว่าร้อยเอกเกษมจะลงใจในองค์หลวงปู่ ก็เคยทดลององค์หลวงปู่อยู่หลายครั้ง ดังเช่น ครั้งหนึ่งขณะเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติงานสร้างถนนเข้ามาวัดดูนอยู่นั้น ตอนกลางคืนก็มาพักอยู่ที่วัด ตอนดึกๆ ปวดท้องเหมือนไส้จะขาดออกจากกัน ลูกน้องหายาแก้เจ็บท้องหลายชนิดที่มีอยู่มาให้กิน ก็ไม่ทุเลา นอนก็นอนไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องพึ่งน้ำมนต์จากองค์หลวงปู่ ที่ทำไว้ในอ่างน้ำมนต์กินจึงทุเลาและถึงได้หลับ หรือถึงขนาดเฝ้าดูองค์หลวงปู่เดินจงกรมตลอดทั้งคืน ก็เคยทำมาแล้ว และได้รายงานไปถึงท่านพันเอกเฉลิม คำรพวงศ์ (ยศในขณะนั้น) รองเจ้ากรมขนส่งทางบกให้ทราบว่า ได้พบพระกรรมฐานรูปหนึ่ง ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่ตัวเองได้เฝ้าสังเกตดูเป็นระยะเวลานาน
ท่านพันเอกเฉลิม เป็นผู้เลื่อมใสในพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่แล้ว เมื่อทราบดังนั้น จึงได้เดินทางมากราบนมัสการหลวงปู่ที่วัด ได้มีโอกาสสนทนาธรรม ได้รับโอวาท ได้พบเห็นการปฏิบัติธรรมของหลวงปู่แบบมั่นคงและเด็ดเดี่ยว เป็นผู้มีวาจาสัตย์ พูดคำใดเป็นคำนั้น เป็นพระผู้ปฏิบัติตรงตามพระธรรมวินัยอย่างแท้จริง
เมื่อท่านพันเอกเฉลิม ได้พบเห็นด้วยตาตนเอง แล้วเกิดความศรัทธาเลื่อมใสจึงได้ชักชวนคุณสุทธิ นาคสมภพ ซึ่งเป็นคู่เขยกัน เดินทางมากราบนมัสการท่าน ที่วัดอุดมคงคาคีรีเขต
คุณสุทธิได้เดินดูสภาพวัด ร่มรื่น สะอาดสงบ และได้ไปดูกุฏิบุ่ง (บุ่ง หมายถึงสถานที่ลุ่ม มีแหล่งน้ำ มีต้นไม้และเถาวัลย์ปกคลุม) ซึ่งเป็นกุฏิขององค์หลวงปู่ เป็นกุฏิหลังเล็กๆ มีบันได ๓ ขั้น หลังคามุงด้วยหญ้าแฝก ฝาเอาไม้ไผ่สานขัดกระดาษถุงปูนซีเมนต์ เสาทั้ง ๔ ต้นมีน้ำหล่อไว้ ดูแล้วเหมือนตู้กับข้าว ทางเดินจงกรมอยู่ติดกับกุฏิ มุงด้วยหญ้าเหมือนกัน พอเปิดประตูเข้าไป เห็นผ้าเช็ดเท้าอยู่หนึ่งผืน เห็นบาตร กลด กาน้ำ ผ้าไตรจีวร มีแค่บริขาร ๘ เท่านั้น นี่หรือความเป็นอยู่ของพระป่า ในชีวิตก็พึ่งมาสัมผัสวัดป่าเป็นครั้งแรก เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับสมัยที่บวชอยู่ในกรุงเทพแล้ว แตกต่างจากกันราวกับฟ้ากับดิน ทั้งได้พบเห็นปฏิปทาท่าน ก็เกิดศรัทธาเลื่อมใสในองค์ท่าน ต่อมาภายหลังจึงได้ชักชวนศรัทธาญาติโยมทางกรุงเทพฯ มากราบนมัสการองค์หลวงปู่มิได้ขาด
หน้าที่เข้าชม | 1,412,143 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,157,740 ครั้ง |
เปิดร้าน | 28 ธ.ค. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 27 ส.ค. 2568 |